
การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เพราะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ไม่ต้องพักฟื้นนาน และช่วยแก้ไขปัญหาริ้วรอยหรือเพิ่มปริมาตรให้ใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่า การฉีดฟิลเลอร์ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษะของแพทย์เพียงอย่างเดียว แต่การดูแลตัวเองหลังฉีดก็สำคัญไม่แพ้กัน ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์และข้อควรปฏิบัติต่างๆ ที่เราแนะนำจึงมีไว้เพื่อช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและปลอดภัยที่สุด บทความนี้ หมอเอ็ม จาก M VITA Clinic ได้รวบรวมคำแนะนำที่สำคัญที่คุณควรรู้หลังฉีดฟิลเลอร์ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลทั่วไป หรือการดูแลเฉพาะจุดที่ฉีด เพื่อให้คุณมั่นใจว่าการลงทุนเพื่อความงามในครั้งนี้จะคุ้มค่าและอยู่กับคุณไปนานที่สุดครับ
ทำไมต้องดูแลตัวเองให้ดี หลังฉีดฟิลเลอร์

การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีการเสริมความงามที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด และฟื้นตัวได้เร็ว แต่หลายคนมักละเลยการดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง การดูแลตัวเองไม่ดีหลังฉีดอาจนำไปสู่ปัญหาหลายอย่างได้ เช่น ฟิลเลอร์ผิดรูป ฟิลเลอร์เคลื่อน หรือเกิดอาการบวมที่นานกว่าปกติ บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้ เช่น การติดเชื้อหรือการอุดตันของเส้นเลือด
ไม่ว่าคุณจะเลือกฉีดฟิลเลอร์ปาก เพื่อให้ริมฝีปากอวบอิ่ม ฟิลเลอร์ใต้ตา เพื่อลดรอยคล้ำและถุงใต้ตา ฟิลเลอร์คาง เพื่อเสริมคางให้เรียวสวย หรือ ฟิลเลอร์ร่องแก้ม เพื่อลดร่องลึกและทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ ทุกตำแหน่งล้วนต้องการการดูแลที่เหมาะสมครับ
ข้อควรทำหลังฉีดฟิลเลอร์ เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ข้อควรทำหลังฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตรงใจ มีดังนี้
1. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

ฟิลเลอร์ประกอบด้วยกรด HA (Hyaluronic Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติดูดซับน้ำได้มากถึง 1,000 เท่าของน้ำหนักตัวเอง ดังนั้นการดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน (ประมาณ 2 ลิตร) จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะทำให้ฟิลเลอร์อยู่ได้นานและดูเป็นธรรมชาติ
กลไกการทำงานนี้เรียกว่า Isovolumetric degradation คือโมเลกุลของฟิลเลอร์จะค่อยๆ สลายไปและถูกแทนที่ด้วยโมเลกุลของน้ำ ทำให้แม้ฟิลเลอร์จะสลายไปบางส่วนแต่ก็ยังมีปริมาตรเท่าเดิมจากน้ำที่เรากิน หากร่างกายขาดน้ำ จะทำให้ฟิลเลอร์ะยุบลงและสลายไปเร็วกว่ากำหนด ดังนั้น M VITA Clinic จึงมักแนะนำให้คนไข้ของเราดื่มน้ำเยอะๆ หลังฉีดฟิลเลอร์ครับ
2. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

หลังฉีดฟิลเลอร์ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะทำงานเพื่อตอบสนองต่อสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย จึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่กระตุ้นการอักเสบเพิ่มเติม ซึ่งอาหารที่ควรงดใน 1-2 สัปดาห์แรกหลังฉีด ได้แก่
- อาหารรสจัด โดยเฉพาะเผ็ดจัด เค็มจัด หรือหวานจัด
- อาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า หน่อไม้ดอง มะม่วงดอง
- อาหารแปรรูปที่มีสารกันบูดหรือวัตถุกันเสียสูง
- เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง น้ำอัดลม ชานมหวาน
แนะนำให้รับประทานอาหารที่ช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมการฟื้นฟูผิว เช่น
- ผักและผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม กีวี พริกหวาน ซึ่งช่วยในการสร้างคอลลาเจน
- โปรตีนคุณภาพดี เช่น ปลา ไข่ เต้าหู้ ที่ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อ
- อาหารที่มีโอเมก้า-3 เช่น ปลาทะเล ถั่วเปลือกแข็ง ซึ่งช่วยลดการอักเสบ
- อาหารที่มีสังกะสีและซีลีเนียม เช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ช่วยเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
3. ใช้ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม

การประคบเย็นจะช่วยลดอาการบวมหลังฉีดฟิลเลอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่มีวิธีการที่ถูกต้องที่ควรทำตามดังนี้
- ควรประคบเย็นเฉพาะตามคำแนะนำของแพทย์ผู้ฉีด เนื่องจากการประคบไม่ถูกวิธีอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนและไม่เกาะผิวได้ดี
- ควรห่อน้ำแข็งในผ้าสะอาดหรือใช้ถุงประคบเย็นที่สะอาด ไม่วางน้ำแข็งโดยตรงบนผิว
- ประคบเบาๆ ครั้งละ 5-10 นาที และพัก 10 นาที ทำซ้ำได้ใน 24-48 ชั่วโมงแรก
- ไม่ควรกดแรงขณะประคบ โดยเฉพาะผู้ที่ฉีด ฟิลเลอร์ใต้ตา หรือ ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ซึ่งเป็นบริเวณที่บอบบางและมีเส้นเลือดมาเลี้ยงจำนวนมาก
- เครื่องดื่มสมุนไพรบางชนิด เช่น น้ำใบบัวบก น้ำฟักทอง ช่วยเสริมการลดบวมจากภายในได้ดี
หลังฉีดฟิลเลอร์ 2-3 วัน หากยังมีอาการบวมมาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาให้ยาลดบวมเพิ่มเติมครับ
4. ทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

มีข้อที่ควรปฏิบัติหลังฉีดฟิลเลอร์เพิ่มเติม เพื่อความปลอดภัย ดังนี้
- รับประทานยาที่แพทย์สั่งให้ครบถ้วนตามเวลาและขนาดที่กำหนด โดยทั่วไปจะมียาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ (ควรกินให้ครบคอร์ส) ยาแก้ปวด เช่น Paracetamol (กินเมื่อมีอาการปวดทุก 4-6 ชั่วโมง) และ ยาลดการอักเสบ (ตามคำแนะนำของแพทย์)
- กลับไปตรวจตามนัดเพื่อให้แพทย์ประเมินผลลัพธ์และแก้ไขหากมีความจำเป็น
- สังเกตอาการผิดปกติ หากพบอาการดังต่อไปนี้ ให้รีบติดต่อแพทย์ทันที
- ผิวเปลี่ยนสีเป็นสีขาวซีดผิดปกติหรือคล้ำในบริเวณที่ฉีด
- ปวดรุนแรงผิดปกติที่ไม่ทุเลาแม้กินยาแก้ปวด
- บวมมากผิดปกติหลังผ่านไป 3-4 วัน
- มีไข้หรือรู้สึกร้อนบริเวณที่ฉีด
ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ มีอะไรบ้าง?
ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ที่สำคัญมากคือ ห้ามนวด กด หรือปั้นแต่งรูปทรงด้วยตัวเอง ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังฉีด ซึ่งเป็นช่วงที่ฟิลเลอร์ยังไม่เข้าที่ดี โดยฟิลเลอร์จะใช้เวลาประมาณ 14 วันในการกระจายตัวและเข้าที่อย่างสมบูรณ์
การดูแลแต่ละตำแหน่งมีความเฉพาะ
- ฟิลเลอร์คาง: ห้ามเท้าคาง บิดจับคาง หรือนอนคว่ำที่กดทับคาง เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่และเสียทรงได้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใส่หมวกกันน็อคที่รัดแน่นในช่วงแรก
- ฟิลเลอร์ปาก: ไม่ควรเม้มปาก ดึงลอกปาก ใช้หลอดดูด จูบ หรือรับประทานอาหารร้อนจัดในช่วง 12-24 ชั่วโมงแรก และงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 24 ชั่วโมงเพราะจะทำให้ปากแห้งและทำลายผลลัพธ์
- ฟิลเลอร์ใต้ตา: ห้ามขยี้ตา ถูตาแรงๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมกรดแรงบริเวณรอบดวงตา
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม: ไม่ควรขยับใบหน้าเยอะ บีบแก้ม หรือทำแก้มป่องในช่วง 3 วันแรก
แพทย์จะเป็นผู้ปรับแต่งและจัดการหากฟิลเลอร์ไม่เข้าที่ ไม่ควรพยายามปรับแต่งด้วยตัวเอง
1. ห้ามนวด กด หรือสัมผัสแรงๆ บริเวณที่ฉีด

ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ ที่สำคัญมากคือ ห้ามนวด กด หรือปั้นแต่งรูปทรงด้วยตัวเอง ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกหลังฉีด ซึ่งเป็นช่วงที่ฟิลเลอร์ยังไม่เข้าที่ดี ฟิลเลอร์ของแท้จากแบรนด์มาตรฐานอย่าง Belotero หรือ Restylane จะใช้เวลาประมาณ 14 วันในการกระจายตัวและเข้าที่อย่างสมบูรณ์
การดูแลแต่ละตำแหน่ง
- ฟิลเลอร์คาง ห้ามเท้าคาง บิดจับคาง หรือนอนคว่ำที่กดทับคาง เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนที่และเสียทรงได้ง่าย ควรหลีกเลี่ยงการใส่หมวกกันน็อคที่รัดแน่นในช่วงแรก
- ฟิลเลอร์ปาก ไม่ควรเม้มปาก ดึงลอกปาก ใช้หลอดดูด จูบ หรือรับประทานอาหารร้อนจัดในช่วง 12-24 ชั่วโมงแรก และงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 24 ชั่วโมงเพราะจะทำให้ปากแห้งและทำลายผลลัพธ์
- ฟิลเลอร์ใต้ตา ห้ามขยี้ตา ถูตาแรงๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมกรดแรงบริเวณรอบดวงตา
- ฟิลเลอร์ร่องแก้ม ไม่ควรขยับใบหน้าเยอะ บีบแก้ม หรือทำแก้มป่องในช่วง 3 วันแรก
แพทย์จะเป็นผู้ปรับแต่งและดูแลให้หากฟิลเลอร์ไม่เข้าที่ ดังนั้นจึงไม่ควรพยายามปรับแต่งด้วยตัวเองครับ
2. ห้ามออกกำลังกายหนักหรือใช้ความร้อน เช่น ซาวน่า และอาบน้ำอุ่น

ความร้อนและการเพิ่มอัตราการไหลเวียนโลหิตมีผลต่อการกระจายตัวของฟิลเลอร์ และอาจเพิ่มอาการบวม จึงควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมต่อไปนี้
- เลี่ยงการออกกำลังกายหนัก งดกิจกรรมที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วและเพิ่มความดันเลือดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง รวมถึงการวิ่ง ยกน้ำหนัก หรือการออกกำลังแบบ High-Intensity Interval Training (HIIT) เพราะจะเพิ่มการไหลเวียนโลหิตทำให้บวมมากขึ้น และเกิดรอยช้ำ
- เลี่ยงความร้อนทุกชนิด อย่างน้อย 2 สัปดาห์หลังฉีด ได้แก่ ซาวน่า อบไอน้ำ การนั่งหน้าเตาปิ้งย่าง หม้อไฟ ชาบู หรือหมูกระทะ การทรีตเมนต์ที่ใช้ความร้อน เช่น RF, Thermage, HIFU การสตรีมหน้าด้วยไอน้ำร้อน รวมถึงการตากแดดหรืออยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนจัด
- เลี่ยงการอาบน้ำร้อน แต่ควรใช้น้ำอุณหภูมิปกติในการล้างหน้าและอาบน้ำ เนื่องจากความร้อนสูงอาจทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือดและเพิ่มอาการบวม รวมถึงอาจเร่งการสลายตัวของฟิลเลอร์ ทำให้อยู่ได้สั้นกว่าที่ควรจะเป็น
3. ห้ามดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีน

การดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนมีผลโดยตรงต่อการไหลเวียนโลหิตและการอักเสบหลังฉีดฟิลเลอร์ จึงแนะนำให้งดดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังฉีดฟิลเลอร์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเบียร์ ไวน์ สุรา หรือค็อกเทล เพราะแอลกอฮอล์มีผลทำให้หลอดเลือดขยายตัว เพิ่มโอกาสเกิดรอยช้ำและอาการบวม เป็นสารต้านการแข็งตัวของเลือดอ่อนๆ เพิ่มความเสี่ยงของเลือดออกใต้ผิวหนัง ลดประสิทธิภาพการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มโอกาสติดเชื้อ และขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลให้ฟิลเลอร์เสียปริมาตรเร็วขึ้น
และควรลดหรืองดการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนสูง เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลมบางชนิด หรือเครื่องดื่มชูกำลัง เนื่องจาก คาเฟอีนจะกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต เพิ่มความดันโลหิต อาจทำให้เกิดการบวมมากขึ้น คาเฟอีนเป็นสารกระตุ้นการขับปัสสาวะ ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำ และอาจกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย โดยเฉพาะเมื่อดื่มในปริมาณมาก
หากคุณเป็นคนที่ดื่มกาแฟเป็นประจำ การหยุดทันทีอาจทำให้ปวดศีรษะจากการขาดคาเฟอีน จึงขอแนะนำให้ค่อยๆ ลดปริมาณลง หรือเปลี่ยนเป็นกาแฟที่มีคาเฟอีนน้อยลงก่อน
4. ห้ามนอนคว่ำหรือนอนตะแคง

ท่านอนมีผลกระทบโดยตรงต่อการกระจายตัวของฟิลเลอร์และอาการบวมหลังฉีด โดยเฉพาะใน 2-3 คืนแรก
- ควรนอนหงายและหนุนหมอนสูง หนุนหมอนอย่างน้อย 2 ใบให้ศีรษะอยู่สูงกว่าระดับหัวใจ ซึ่งจะช่วยลดการคั่งของของเหลวบริเวณใบหน้า ทำให้อาการบวมลดลง ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดรอยช้ำและฟกช้ำ รวมถึงช่วยให้ฟิลเลอร์กระจายตัวอย่างสม่ำเสมอมากขึ้น
- ห้ามนอนคว่ำ การนอนคว่ำจะทำให้เกิดแรงกดทับโดยตรงบนใบหน้า ซึ่งมีผลเสียคือ อาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนตัวและเสียรูปทรง การนอนคว่ำจะไปเพิ่มแรงกดบริเวณที่มีการอักเสบอยู่แล้ว ทำให้เกิดอาการปวดและบวม และกดทับบริเวณที่มีรอยฟกช้ำ จะยิ่งทำให้รอยช้ำจางช้าลง
- หลีกเลี่ยงการนอนตะแคง การนอนตะแคงทำให้เกิดแรงกดทับที่ไม่เท่ากันบนใบหน้าทั้งสองข้าง ซึ่งส่งผลให้ฟิลเลอร์กระจายตัวไม่สม่ำเสมอ เกิดความไม่สมมาตร
- เทคนิคที่ช่วยได้ คือ ในช่วง 2-3 คืนแรก ควรใช้หมอนข้างกั้นทั้งซ้ายและขวาเพื่อป้องกันการพลิกตัวไปนอนในท่าที่ไม่เหมาะสมขณะหลับ หรือใช้หมอนพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อการนอนหงายโดยเฉพาะ (U-shaped pillow)
5. ห้ามแต่งหน้าหรือใช้สกินแคร์บางประเภททันทีหลังฉีด

ผิวหนังบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์จะมีรูเข็มเล็กๆ ซึ่งเป็นช่องทางที่เชื้อโรคและสารเคมีอาจเข้าสู่ผิวได้ง่าย จึงควรระมัดระวังเรื่องการใช้เครื่องสำอางและสกินแคร์ ดังนี้
- งดแต่งหน้า ควรงดแต่งหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังฉีดฟิลเลอร์ทุกประเภท หากจำเป็นต้องแต่งหน้า ให้หลีกเลี่ยงการแต่งในบริเวณที่ฉีดโดยตรง เช่น หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรงดทาลิปสติก และให้เลือกใช้เครื่องสำอางที่ใหม่ สะอาด และยังไม่หมดอายุเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ รวมถึงเลี่ยงการใช้พัฟหรือแปรงที่สกปรกสัมผัสบริเวณที่ฉีด
- งดใช้สกินแคร์บางประเภท โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีกรดเข้มข้น เช่น AHA, BHA, กรดไกลโคลิก หรือกรดซาลิไซลิกเข้มข้น ควรงดใช้อย่างน้อย 5-7 วัน ส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของรีทินอล (Retinol) หรืออนุพันธ์ของวิตามินเอ ควรงดใช้อย่างน้อย 3-5 วัน ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์สูง เช่น โทนเนอร์บางชนิด ควรหลีกเลี่ยงอย่างน้อย 24-48 ชั่วโมง และควรงดใช้ครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยเข้มข้น เพราะอาจระคายเคืองผิวได้
- สกินแคร์ที่แนะนำให้ใช้ ได้แก่ คลีนเซอร์อ่อนๆ ที่ไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น คลีนเซอร์สำหรับผิวบอบบาง ครีมหรือเซรั่มที่มีส่วนผสมของสารต้านการอักเสบ เช่น อโลเวร่า คาโมมายล์มอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยน และมีส่วนผสมของไฮยาลูรอนิกแอซิด เพื่อเสริมความชุ่มชื้น และครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป เพื่อป้องกันผิวจากรังสี UV ที่อาจเร่งการสลายตัวของฟิลเลอร์
สรุปสิ่งที่ควรทำและข้อห้าม หลังฉีดฟิลเลอร์

การดูแลตัวเองหลังฉีดฟิลเลอร์ไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิด แต่มีความสำคัญอย่างมากต่อผลลัพธ์และความปลอดภัย ข้อห้ามหลังฉีดฟิลเลอร์ทั้งหมดนี้ ล้วนมีขึ้นเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนและช่วยให้ฟิลเลอร์คงอยู่ได้นานที่สุด ซึ่งที่ M VITA Clinic เรามุ่งมั่นในการให้บริการฉีดฟิลเลอร์ที่ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์สวยงามเป็นธรรมชาติ ด้วยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ และฟิลเลอร์คุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น BeloteroRestylane หรือ Juvederm และเรายังมีบริการให้คำปรึกษาหลังการฉีดอย่างใกล้ชิด พร้อมคอยติดตามผลลัพธ์และตอบข้อสงสัยตลอด 24 ชั่วโมง