รอยสิว เป็นปัญหาที่เกิดตามหลังสิว ทำให้สูญเสียความมั่นใจอยู่ไม่น้อย บทความนี้ หมอจะมาให้ความรู้เกี่ยวกับรอยสิวอย่างละเอียดนะครับว่ารอยสิวคืออะไร และมีวิธีรักษารอยสิวอย่างไร
แนะนำตัวกันก่อนนะครับ หมอชื่อ หมอเอ็ม หรือ นพ. มนตรี อุดมประเสริฐกุล นะครับ เป็นแพทย์ประจำ เอ็มวีต้าคลินิก ครับผม
รอยสิว คืออะไร

ก่อนอื่นเราต้องแยกให้ออกก่อนนะครับ ระหว่างรอยสิว (Acne Mark) ที่คือการเปลี่ยนแปลงของสีผิว หลังจากสิวอักเสบหายไปแล้ว โดยที่ผิวสัมผัสยังคงเรียบเนียนอยู่ ซึ่งจะแตกต่างจาก หลุมสิว หรือ รอยแผลเป็นสิว (Acne Scar) ที่เป็น การเปลี่ยนแปลงของผิวสัมผัส ซึ่งผิวจะไม่เรียบเนียน อาจเป็นหลุมลลงไป หรือนูนขึ้นมาเป็นคีลอยด์ก็ได้
- รอยสิว เป็นการเปลี่ยนแปลงสีผิวโดยที่ผิวยังเรียบเนียนอยู่
- รอยแผลเป็นสิวผิวจะไม่เรียบเนียน อาจยุบลงจนเป็นหลุมสิวหรืออาจนูนเป็นคีลอยด์ได้
ประเภทรอยสิวมีกี่รูปแบบ
รอยสิวที่พบได้บ่อยมี 2 รูปแบบหลัก ๆ ซึ่งมีสาเหตุและลักษณะที่แตกต่างกันครับ
1. รอยแดงสิว Post Acne Erythema (PAE)
รอยแดงสิว มีลักษณะเป็นรอยสีชมพูหรือแดง เกิดจากการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยหลังการอักเสบของสิว ซึ่งมักพบได้บ่อยในผู้ที่มีผิวขาว ถือเป็นระยะแรกของรอยสิวที่หากดูแลอย่างถูกวิธีก็จะจางลงได้ไว
2. รอยดำสิว Post Acne Hyperpigmentation (PAH)
รอยดำสิว คือ รอยสีน้ำตาลหรือสีดำที่เกิดขึ้นหลังจากสิวอักเสบหาย ซึ่งก็เหมือนกับรอยแดงสิว โดยรอยจะมีสีเข้มหรือจาง จะใหญ่หรือเล็ก ขึ้นกับความรุนแรงของการอักเสบนั่นเอง
รอยสิวเกิดจากอะไร ?
สาเหตุหลักของรอยสิวทั้งสองชนิดคือ “การอักเสบ” ของสิว แต่ปัจจัยกระตุ้นเพิ่มเติมที่สำคัญคือ การบีบ แกะ หรือเค้นสิว ซึ่งเป็นการทำร้ายผิวซ้ำเติม ทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น และยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อ จนอาจลุกลามเป็นหลุมสิวได้ในที่สุด

ต่อไปเรามาดูกันครับว่ารอยสิวแต่ละแบบเกิดขึ้นได้อย่างไร
1. รอยแดงสิว
สำหรับรอยแดงสิว จะเกิดตามหลังสิวอักเสบซึ่งปกติก็จะแดงอยู่แล้ว พอสิวหาย ถ้าความแดงนี้ยังคงอยู่ ก็จะกลายเป็นรอยแดงสิว ดังนั้นถ้าเราปล่อยให้สิวหายเองโดยไม่แกะ หรือบีบ มักจะเกิดเป็นรอยแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่านที่มีผิวขาวมากๆ มักจะเป็นรอยแดงง่ายกว่ารอยดำ
2. รอยดำสิว
ปกติเวลาสิวอักเสบหาย มักกลายเป็นรอยแดงสิวมากกว่า ส่วนรอยดำสิว จะพบได้ในกรณีพิเศษ ดังนี้
- แกะสิว จะทำให้เกิดเป็นแผลถลอกขึ้นมาแทน ซึ่งพอหายก็จะเกิดเป็นรอยดำขึ้นมานั่นเอง
- ผิวเข้ม คนไข้ท่านที่มีสีผิวเข้ม เวลาเป็นสิวอักเสบมักจะเป็นรอยดำสิวได้ง่าย
- ไม่รักษารอยแดงสิว ท่านที่เป็นสิวอักเสบหนักๆ พอสิวหายแล้วก็มีรอยแดงสิวค่อนข้างเยอะ แต่ไม่ได้รักษา ปล่อยไว้นานเข้ารอยแดงพวกนี้ก็สามารถเปลี่ยนเป็นรอยดำได้เช่นเดียวกัน
วิธีการป้องกันไม่ให้เกิดรอยสิว

การป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดรอยสิว สามารถปฏิบัติ 6 วิธี ดังนี้ครับ
- หากมีสิวอักเสบให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรักษาสิวอย่างถูกวิธีจะช่วยป้องกันการเกิดรอยได้ดีที่สุดครับ
- ห้ามแกะ แคะ เกาหรือบีบสิวเองเด็ดขาด
- ล้างหน้าให้สะอาด และหากแต่งหน้า แนะนำให้ใช้คลีนซิ่งเช็ดหน้าให้สะอาด
- ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง
- เช็กส่วนประกอบผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้เหมาะสมกับสภาพผิวของตัวเอง ควรเลือกที่เป็นสูตรน้ำ Water based เช่นเนื้อเจล เนื้อเอสเซ้นซ์ หรือเนื้อเซรั่มจะอุดตันและก่อให้เกิดสิวได้ยากกว่าแบบเนื้อครีม
- ใช้ครีมกันแดดสูตรสำหรับผิวที่เป็นสิว เป็นประจำเพื่อป้องกันแสงแดดที่จะกระตุ้นให้เกิดรอยดำสิวได้
- พักผ่อนให้เพียงพอ วันละ 7-9 ชั่วโมง
รอยสิว รักษาได้ด้วยวิธีไหนบ้าง
จริง ๆ รอยสิวทั้งสองแบบนี้สามารถหายได้เอง แต่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร บางครั้งอาจจะใช้เวลาเป็นปีเลยก็ได้ แต่ถ้าอยากให้หายเร็วขึ้น ปัจจุบันก็มีตัวช่วยหลายอย่างที่งานวิจัยรับรอง เรามาดูกันดีกว่า ว่าอะไรบ้างที่จัดเป็นวิธีรักษารอยสิวให้จางลง
1. ยาทา ลดรอยสิว
ผลลัพธ์ | ☆ (ได้ผลน้อย) |
---|---|
ราคา | ☆ |
ความเจ็บ | ไม่เจ็บ |
ช่วงพักฟื้น | ไม่มี |
สำหรับยาทารอยสิว หมอแนะนำให้คนไข้ดูส่วนประกอบที่รักษารอยสิวได้ดี ตัวอย่างที่แนะนำ มีดังนี้ครับ
- วิตามิน C (Vitamin C) มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความแข็งแรงของผนังหลอดเลือด ต้านอนุมูลอิสระ และมีบทบาทในการสร้างน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวกับ ceramides ซึ่งทำให้ชั้นผิวแข็งแรงขึ้น นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยยืนยันว่าช่วยให้รอยแดงสิว รอยดำสิวดีขึ้นครับ
- สารสกัดใบบัวบก (Gotu kola extract ) สรรพคุณช่วยปรับสมดุลของเส้นเลือดที่ผิว ทำให้รอยแดงจางลง
- อาร์บูติน (Arbutin) สรรพคุณ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลบเลือนรอยดำ ปรับผิวให้สว่างขึ้น
- ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) สรรพคุณบล็อกกลไกการสร้างเม็ดสีเมลานิน จึงช่วยรักษารอยด่างดำ
- ไนอาซินาไมด์ (Niacinamide) สรรพคุณลบเลือนจุดรอยดำจากรอยสิว พร้อมปรับเม็ดสีผิวให้ฟื้นฟูผิวกลับมาเป็นสีสม่ำเสมอ
- เทรติโนอิน (Tretinoin) รักษาสิว และขัดขวางการสร้างเม็ดสีเมลานิน จึงช่วยลดรอยด่างดำ
นอกจากนี้ยาทาหรือสกินแคร์ เป็นอีกตัวที่ช่วยรอยสิวได้ดีมากๆ และขาดไม่ได้เลยก็คือ ครีมกันแดด เพราะแสงแดดอาจทำให้เกิดรอยดำมากขึ้นได้ แต่ในการใช้ต้องเลือกสูตรสำหรับคนเป็นสิว เพื่อป้องกันการอุดตันที่เพิ่มขึ้น
2. ยากิน ลดรอยสิว
ผลลัพธ์ | ☆ (ได้ผลน้อย) |
---|---|
ราคา | ☆ |
ความเจ็บ | ไม่เจ็บ |
ช่วงพักฟื้น | ไม่มี |
ยากินบางชนิดอาจช่วยเสริมการรักษารอยสิวได้ เช่น
- วิตามินซี Vitamin C ในรูปแบบกินก็ช่วยต้านอนุมูลอิสระและอาจมีส่วนช่วยให้รอยสิวจางลงได้ดีเช่นกันครับ
- กรดทรานเอกซามิก Tranexamic acid เป็นยาห้ามเลือดที่พบว่าให้ผลยับยั้งการสร้างเม็ดสีด้วย จึงช่วยลดรอยดำได้ แต่ควรใช้ภายใต้การดูแลโดยแพทย์เท่านั้น
3. กดสิว (หลีกเลี่ยงการบีบสิว กดสิวด้วยตนเอง)
ผลลัพธ์ | ☆ (ได้ผลน้อย) |
---|---|
ราคา | ☆ |
ความเจ็บ | ☆☆ |
ช่วงพักฟื้น | ไม่มี |
การบีบหรือกดสิวด้วยตนเองอาจทำให้เกิดปัญหาผิวหนังที่รุนแรงขึ้น แม้ว่าจะรู้สึกอยากกำจัดสิวทันที แต่การทำแบบนั้น อาจเกิดการอักเสบ เกิดแผลเป็น และรอยดำรอยแดงที่ยากต่อการรักษามากขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อการแพร่กระจายของแบคทีเรียไปยังบริเวณอื่นๆ ของใบหน้า ทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น และรอยสิวที่เพิ่มขึ้นตามมาด้วย
4. พอกสมุนไพร
ผลลัพธ์ | ☆ (ได้ผลน้อย) |
---|---|
ราคา | ☆ |
ความเจ็บ | ไม่เจ็บ |
ช่วงพักฟื้น | ไม่มี |
การพอกหน้าด้วยสมุนไพรเป็นวิธีธรรมชาติที่จะช่วยบำรุงผิวและลดรอยสิวได้ โดยสมุนไพรหลายชนิดมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยฟื้นฟูผิวและลดรอยดำรอยแดงได้ดี เช่น ขมิ้นชันมีสารเคอร์คูมินที่ช่วยต้านการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ว่านหางจระเข้ช่วยสมานแผลและให้ความชุ่มชื้น เป็นต้น การพอกหน้าด้วยส่วนผสมเหล่านี้สามารถทำได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อฟื้นฟูผิวและลดรอยสิวอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรก็ตาม การพอกหน้าด้วยสมุนไพรหมอแนะนำว่าควรเลือกใช้สมุนไพรที่อ่อนโยน และขณะที่พอกหน้า ให้สังเกตอาการ หากรู้สึกคันหรือแสบให้รีบล้างออกทันที เพื่อป้องกันการระคายเคืองหรืออาการแพ้ที่อาจเกิดขึ้นได้ครับ
5. สครับหน้า
ผลลัพธ์ | ☆ (ได้ผลน้อย) |
---|---|
ราคา | ☆ |
ความเจ็บ | ไม่เจ็บ |
ช่วงพักฟื้น | ไม่มี |
การสครับหน้าเป็นขั้นตอนการกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและช่วยเปิดรูขุมขน ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดสิวและลดรอยดำรอยแดงได้ อย่างไรก็ตาม การสครับที่ถูกวิธีและพอเหมาะเป็นสิ่งสำคัญ ควรเลือกผลิตภัณฑ์สครับที่อ่อนโยนต่อผิว หลีกเลี่ยงการสครับแรงจนเกินไป เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดการอักเสบได้ ควรสครับสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้น และหลังจากสครับควรทาครีมบำรุงเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวด้วย
สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือเป็นสิวอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนใช้ผลิตภัณฑ์สครับ เพื่อป้องกันการระคายเคืองที่อาจทำให้อาการแย่ลง
6. การฉีดเมโสหน้าใส
ผลลัพธ์ | ☆ ☆ ☆ (ได้ดี) |
---|---|
ราคา | ☆☆☆ |
ความเจ็บ | ☆☆ |
ช่วงพักฟื้น | ☆ (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) |
เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยฟื้นฟูผิวและลดรอยสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเป็นการฉีดวิตามินเข้าสู่ผิวโดยตรง ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความชุ่มชื้น และปรับสภาพผิวให้กระจ่างใสขึ้น และช่วยลดรอยดำรอยแดงและทำให้ผิวเนียนนุ่มขึ้นด้วย แต่วิธีนี้ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี และไม่เกิดผลข้างเคียงนะครับ
7. การผลัดผิว Chemical peeling
ผลลัพธ์ | ☆☆ (ได้ผลน้อย) |
---|---|
ราคา | ☆☆ |
ความเจ็บ | ☆ (น้อย) |
ช่วงพักฟื้น | ☆ (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) |
ช่วยให้รอยแดงและรอยดำสิวดีขึ้นจากการลอกผิวชั้นบนออก และปรับโครงสร้างชั้นผิวให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งตัวผลัดเซลล์ที่ได้ผลมีทั้ง AHA (Glycolic acid) BHA (Salicylic Acid) หรือ TCA (TriChloroacetic Acid) เป็นต้น
สิ่งสำคัญคือ ก่อนอื่นเราต้องประเมินผิวว่าพร้อมสำหรับการผลัดผิวหรือไม่ หากผิวดูแห้งหรือมีการระคายเคืองอยู่ ก็ไม่เหมาะที่จะผลัดผิว นอกจากนี้กรดผลัดผิวที่จะใช้นั้น หากเป็นการผลัดผิวแบบทำเองที่บ้านก็ควรใช้แบบความเข้มข้นน้อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงครับ
กรณีที่ต้องการผลัดผิวด้วยกรดที่มีความเข้มข้นสูงๆ ต้องทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นครับ
8. การกรอผิว Microdermabrasion
ผลลัพธ์ | ☆ (ได้ผลน้อย) |
---|---|
ราคา | ☆☆ |
ความเจ็บ | ☆ (น้อย) |
ช่วงพักฟื้น | ☆ (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) |
ช่วยกรอผิวชั้นบนออกไปพร้อมกับเม็ดสีส่วนเกินที่ผิวชั้นบน ทำให้รอยดำสิวจางลงได้ แต่อาจไม่เหมาะกับท่านที่มีรอยแดง หรือท่านที่มีผิวแพ้ง่ายครับ
9. IPL (Intense Pulsed Light)
ผลลัพธ์ | ☆☆☆ (ได้ผลดี) |
---|---|
ราคา | ☆☆ |
ความเจ็บ | ☆ (น้อย) |
ช่วงพักฟื้น | ไม่มี |
พลังงานแสงความเข้มสูง ช่วยรักษาทั้งรอยแดงและรอยดำได้ แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องพลังงานที่ไม่สามารถตั้งสูงมากนัก ทำให้ต้องทำหลายครั้งจึงจะเห็นผลชัดเจน
10. เลเซอร์รอยสิว
ผลลัพธ์ | ☆☆☆☆ (ได้ผลดีมาก) |
---|---|
ราคา | ☆☆☆ |
ความเจ็บ | ☆☆ |
ช่วงพักฟื้น | ☆ (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) |
เลเซอร์ เป็นการรักษาหลักที่ดีที่สุด เพราะเห็นผลชัด และเร็วกว่าวิธีอื่นๆ แถมยังไม่ต้องพักฟื้นอีกด้วย
สำหรับรอยแดงสิว เลเซอร์ตัวที่นำมาใช้ในการรักษารอยแดงสิวทั้งหมดจะเป็นเลเซอร์ที่มีคุณสมบัติรักษาความผิดปกติของหลอดเลือดโดยตรง ซึ่งมีหลายชนิดได้แก่ Proyellow laser, Copper Bromide laser, Pulsed dye laser, Long pulsed Nd:YAG ซึ่งจะให้ผลดีกว่าและไวกว่า IPL ครับ
ส่วนรอยดำสิว เลเซอร์ที่ใช้จะแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ
- เลเซอร์เม็ดสี จะออกฤทธิ์ต่อ Melanosome หรือถุงเก็บเม็ดสีภายในเซลล์โดยตรง ได้แก่ Q switched Nd:YAG laser, picosecond laser, Copper Bromide laser เป็นต้น
- อีกกลุ่มหนึ่งคือเลเซอร์ปรับสภาพผิวชนิดไม่เกิดแผล Fractional Non-Ablative laser ต่างๆ เช่น Fraxel dual, LaseMD เป็นต้นครับ
เอ็มวีต้าคลินิก รักษารอยสิวยังไง?
สำหรับที่เอ็มวีต้าคลินิก หมอจะใช้เลเซอร์รอยสิว เป็นหลักในการรักษา เพราะ
- ให้ผลลัพธ์ที่ดี ยิ่งถ้าใช้เครื่องดีๆยิ่งเห็นผลเร็วและชัดเจน
- ไม่ต้องพักฟื้น มักไม่มีสะเก็ด ไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษหลังทำ
- เจ็บแบบทนได้ ไม่ต้องใช้ยาชา
ที่คลินิกของเรา หมอจะมีเลเซอร์เฉพาะทางในการรักษารอยแดงสิวและรอยดำสิว เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษา และจะใช้ยาทา ยากิน รวมทั้งการผลัดผิวเป็นตัวเสริม ให้ผลการรักษาเร็วและชัดเจน โดยจะพิจารณาเป็นรายบุคคลตามความเหมาะสมครับ

ทำไมต้องรักษารอยสิว ที่เอ็มวีต้าคลินิก?
- เอ็มวีต้าคลินิก เป็นคลินิกที่มีชื่อเสียงและรีวิวในด้านการรักษาสิวและรอยสิวมาก
- หมอมีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในด้านนี้เป็นอย่างดี
- อีกทั้งอุปกรณ์เครื่องเลเซอร์ที่ใช้รักษาก็เป็นเครื่องคุณภาพสูงมาตรฐานระดับสากล ผ่านการรับรองจาก อย ทุกตัว
- ดูจากรีวิวจะเห็นได้เลยครับว่า ถ้าพูดถึงสิวและรอยสิว เอ็มวีต้าคลินิกรับรองได้เลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ รอยสิวดีขึ้นแน่นอนแบบไม่ต้องลุ้น และไม่มีผลข้างเคียงอีกด้วย
รักษารอยสิวเหมาะกับใคร?
การรักษารอยสิว โดยเฉพาะที่เอ็มวีต้า เหมาะกับท่านที่กังวลกับรอยสิวและอยากรักษาให้หายเร็วๆ โดยสามารถทำได้ทุกสภาพผิว ทั้งผิวมัน ผิวที่มีสิวอยู่ ผิวแห้ง ผิวผสมครับ
ใครไม่เหมาะกับการรักษารอยสิว?
หากเป็นการรักษาด้วยเลเซอร์รอยสิว ถ้าผิวระคายเคืองเล็กน้อยไม่มากนักก็ยังสามารถทำได้ปกติครับ แต่อาจไม่เหมาะกับท่านที่มีผิวแพ้ระคายเคืองมากๆ ในกรณีนี้อาจต้องรักษาอาการผื่นอักเสบให้หายก่อนจึงจะเลเซอร์ได้ครับ
ข้อดีของการรักษารอยสิว
หากเลือกใช้วิธีดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพ เช่น เลเซอร์รอยสิวที่เอ็มวีต้าคลินิก ย่อมทำให้
- รอยสิวจางแบบเห็นผลเร็ว ส่วนใหญ่ครั้งแรกก็จะเริ่มดีขึ้นเลยภายใน 1-2 วัน
- ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง หากทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ
- ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้เลย ไม่มีสะเก็ด ไม่ต้องดูแลผิวเป็นพิเศษ

รักษารอยสิว กี่ครั้งหาย ต้องทำกี่ครั้งถึงเห็นผล?
สำหรับที่เอ็มวีต้าคลินิก การเลเซอร์รอยสิวจะให้ผลการรักษาเร็วมากครับ ปกติครั้งแรกก็จะเริ่มเห็นว่าจางลงในระดับนึงแล้ว
ส่วนต้องทำกี่ครั้งจึงจะหายสนิท อันนี้จะขึ้นกับหลายปัจจัย เช่น
- รอยสิวมีสีเข้มหรือไม่ มีจำนวนเยอะไหม ถ้าเป็นมากก็คงต้องทำหลายครั้ง
- มีปัญหาสิวร่วมด้วยหรือไม่ ถ้ายังมี สิวเหล่านี้ยังมีโอกาสทำให้เกิดรอยใหม่เพิ่ม ก็ต้องรักษาสิวไปด้วยและหากสิวยังเป็นมากก็คงต้องทำหลายครั้งเช่นกัน
- คนไข้แกะสิวหรือไม่ การแกะสิวก็ทำให้เกิดรอยใหม่เรื่อยๆ แถมยังเป็นรอยที่ลึกด้วยเพราะคนไข้แกะจนเป็นแผล แม้หมอจะรักษารอยเก่าให้หายไปได้ แต่หน้าก็จะยังไม่เกลี้ยงเสียทีเดียวเพราะมีรอยแผลใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเสมอ ทำให้คนไข้ต้องกลับมารักษาหลายครั้ง หากคนไข้ไม่แกะสิวเพิ่มเติม จะสามารถหายขาดได้ครับ
ก่อนรักษารอยสิว เตรียมตัวอย่างไร
สำหรับที่เอ็มวีต้าคลินิก คนไข้ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษครับ เนื่องจากเลเซอร์ทำได้ทุกสภาพผิวอยู่แล้ว
ยกเว้นท่านที่กำลังมีผื่นผิวหนังอักเสบรุนแรง เห่อคันมากๆ ควรรักษาให้หายก่อนทำการรักษารอยสิวครับ
อาการข้างเคียงที่เกิดขึ้นหลังรักษารอยสิว
สำหรับที่เอ็มวีต้าคลินิก เลเซอร์ที่หมอใช้มีคุณภาพสูงมาก และด้วยประสบการณ์จึงมีเทคนิคการยิงที่ปลอดภัย หลังทำจึงไม่มีอาการข้างเคียงใดๆครับ อาจมีแดงเรื่อๆหลังทำแค่ไม่เกิน 30 นาทีก็หาย จากนั้นก็จะค่อยๆเริ่มเห็นผลครับ
ข้อควรปฏิบัติหลังรักษารอยสิว
สำหรับการรักษารอยสิวที่เอ็มวีต้าคลินิก หลังทำคนไข้ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ต้องดูแลอะไรเป็นพิเศษ สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ยังคงใช้ยาทาสิวได้เหมือนเดิมทุกตัว ไม่ต้องหลบแดดมากกว่าปกติ ทั้งรอยแดงรอยดำจะค่อยๆจางลงภายใน 1-2 วันและจะจางลงเรื่อยๆ สามารถมาทำซ้ำได้สัปดาห์ละครั้งครับ
รักษารอยสิว ราคาเท่าไหร่ ?
ราคา เลเซอร์รอยสิว ที่ เอ็มวีต้า คลินิก จะแบ่งเป็น 2 โปรแกรม ครับ
- ราคารักษาสิว และ เลเซอร์รอยสิว คอร์ส Medi-Aclear ราคา
- รายครั้ง : 3,500 บาท
- คอร์ส 5 ครั้ง : 10,500 บาท
- คอร์ส 10 ครั้ง : 17,000 บาท
- ราคาเลเซอร์รอยสิว โปรแกรม Gold K Scan
- รายครั้ง : 2,500 บาท
- คอร์ส 5 ครั้ง : 8,500 บาท
- คอร์ส 10 ครั้ง : 13,500 บาท

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับรอยสิว ( Q & A )
Q : รักษารอยสิว อันตรายไหม ?
การรักษารอยจากสิวไม่อันตราย หากทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและทำด้วยเครื่องมือที่มีคุณภาพ จะไม่มีผลข้างเคียง และยังเห็นผลลัพธ์ได้ดีและเร็วอีกด้วย
Q : รักษารอยสิว เจ็บหรือไม่ ?
เจ็บหรือไม่เจ็บ ขึ้นอยู่กับวิธีรักษารอยสิว แน่นอนครับการทายาอาจจะเป็นตัวเลือกที่ไม่เจ็บ แต่จะให้ผลลัพธ์ที่ช้ากว่าหรืออาจไม่เห็นผล ซึ่งการเลเซอร์รอยสิว จะให้ความรู้สึกเจ็บแบบทนได้ อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ชัดเจน และเร็วกว่า คุ้มค่ากว่าแน่นอนครับ
Q : รักษารอยสิว จะกลับมาเป็นอีกไหม
รักษารอยสิว จะไม่กลับมาเป็นอีก ในจุดเดิมที่เคยรักษาหายแล้วครับ แต่หากเป็นสิวใหม่ขึ้น เกิดแผลสิวใหม่ จะก่อให้เกิดเป็นรอยสิวใหม่ขึ้นได้อีกครับ
สรุปเรื่อง รอยสิว
รอยสิว ป้องกันได้ หากเรารักษาสิวอักเสบอย่างถูกต้อง ไม่บีบแกะสิวด้วยตนเอง แต่หากเกิดรอยสิวขึ้นมาแล้วก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจ เพราะการรักษาอย่างถูกวิธีในคลินิกที่มีแพทย์ ที่มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน จะช่วยให้รอยสิวจางลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ที่เอ็มวีต้าคลินิก เราเข้าใจดีว่าปัญหาผิวของแต่ละคนแตกต่างกัน จึงได้ออกแบบโปรแกรมการรักษาที่ตอบโจทย์เฉพาะทาง ไม่ว่าเราจะยังคงมีปัญหาสิวอักเสบร่วมกับรอยสิว ซึ่งโปรแกรม Medi-Aclear จะช่วยดูแลทั้งสองปัญหาไปพร้อมกัน หรือสำหรับผู้ที่มีเพียงรอยสิวหลงเหลืออยู่ โปรแกรม Gold K Scan ก็จะมุ่งเน้นการจัดการปัญหารอยดำรอยแดงโดยเฉพาะ
หากเรากำลังกังวลเกี่ยวกับปัญหารอยสิว สามารถติดต่อเข้ามารับคำปรึกษาที่เอ็มวีต้าคลินิก เพื่อให้แพทย์ประเมินและค้นหาโปรแกรมการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผิวของเราได้
- เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
- อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
- ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
- สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
- เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
- ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ
เอกสารอ้างอิง
- Treatment protocols and efficacy of light and laser treatments in post-acne erythema
Rezvan Amiri et al. J Cosmet Dermatol. 2022 Feb. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/34985175/ - The comparative study of efficacy between 1064-nm long-pulsed Nd:YAG laser and 595-nm pulsed dye laser for the treatment of acne vulgaris. Napith Chalermsuwiwattanakan et al. J Cosmet Dermatol. 2021 Jul. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/33226176/
- The efficacy and safety of a 577-nm high-power optically pumped semiconductor laser in the treatment of postacne erythema. Rungsima Wanitphakdeedecha et al. J Cosmet Dermatol. 2020 Jul. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/32384205/
- Comparison of fractional, nonablative, 1550-nm laser and 595-nm pulsed dye laser for the treatment of facial erythema resulting from acne: a split-face, evaluator-blinded, randomized pilot study. Park KY, Ko EJ, Seo SJ, Hong CK (2014). J Cosmet Laser Ther 16(3):120–123. https://www.tandfonline.com/doi/full/10.3109/14764172.2013.854626
วันเผยแพร่