สิวฮอร์โมน หรือสิวหนุ่มสาวที่เกิดจากฮอร์โมนนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับวัยรุ่นที่มีฮอร์โมนผิดปกติเท่านั้น แต่บางท่านมีความเครียด หรือสาว ๆ ที่อยู่ในช่วงรอบประจำเดือน ช่วงหมดประจำเดือน หรือช่วงตั้งครรภ์ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนก็สามารถเป็นสิวฮอร์โมนได้เช่นกัน ซึ่งหากรักษาอย่างถูกต้องและตรงจุด สิวที่เกิดจากฮอร์โมนก็สามารถหายได้เช่นกันบทความนี้หมอจะมาไขข้อสงสัยเรื่องสิวชนิดนี้นะครับ ว่าสิวฮอร์โมนคืออะไร, สิวฮอร์โมนเกิดจากอะไร, สิวฮอร์โมน รักษายังไงให้ถูกวิธี และได้ผลลัพธ์ดี แบบครบจบในบทความนี้ครับ




ฮอร์โมน ทำให้เกิดสิวได้อย่างไร บทความนี้ หมอจะให้คำตอบกับผู้ที่มีความกังวลเรื่องสิวชนิดนี้นะครับ ว่า สิวฮอร์โมนคืออะไร, สิวฮอร์โมนเกิดจากอะไร, รักษาสิวฮอร์โมน อย่างถูกวิธี ให้ได้ผลลัพธ์ ครบจบในบทความนี้ครับ

หมอขออนุญาตแนะนำตัวก่อนนะครับ หมอชื่อหมอเอ็ม นายแพทย์มนตรี อุดมประเสริฐกุล เป็นแพทย์ประจำเอ็มวีต้าคลินิกครับ
สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne) คืออะไร
สิวฮอร์โมน เป็นสิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจนที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป เมื่อน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วอุดตันรูขุมขน จึงก่อให้เกิดสิว สิวหัวดำ และสิวหัวขาว สิวชนิดนี้มักพบได้บ่อยในกลุ่มวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ และมักเกิดขึ้นซ้ำๆ เนื่องจากการทำงานของฮอร์โมนที่ยังไม่สมดุล
สิวฮอร์โมน เกิดจากอะไร

สิวฮอร์โมนเป็นสิวชนิดหนึ่งที่เกิดจากสาเหตุหลักดังนี้
- ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย
- ช่วงที่มีประจำเดือน
- ช่วงหมดประจำเดือน
- ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ
- ความเครียด
- พักผ่อนไม่เพียงพอ
- ช่วงตั้งครรภ์
ฮอร์โมนที่มีปริมาณผิดปกติจะกระตุ้นต่อมไขมันในรูขุมขนให้ผลิตน้ำมันซีบัมมากขึ้น ส่งผลให้เชื้อแบคทีเรียเพิ่มจำนวนและก่อตัวเป็นสิวฮอร์โมน ซึ่งสิวฮอร์โมนจะแตกต่างจากสิวทั่วไปตรงที่ สิวฮอร์โมนมีสาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน แต่สิวทั่วไปจะเกิดจากซีบัม เชื้อแบคทีเรีย C.acne และเซลล์ผิวที่ตายแล้วอุดตันในรูขุมขน
ลักษณะสิวฮอร์โมน
ลักษณะของสิวฮอร์โมนจะเหมือนกับสิวอื่น ๆ ที่เป็นสิวอุดตัน สิวอักเสบ โดยสิวประเภทนี้มักมีลักษณะดังนี้
- มักมีอาการผิวมัน รูขุมขนกว้างร่วมด้วย
- ขนาดของหัวสิว ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตันหรือสิวอักเสบ ก็จะค่อนข้างเป็นเม็ดที่มีขนาดใหญ่ อาจมีการรวมตัวกันเป็นกลุ่ม
- มักเป็นสิวที่มีลักษณะเป็นไต ๆ แข็งนูน เมื่อขึ้นแล้วมักอยู่นาน ไม่ค่อยยุบ หายช้า และเป็นซ้ำ ๆ หรือมีอาการเป็นเรื้อรัง
- หลังจากหายแล้ว อาจทำให้เกิดแผลเป็นหรือรอยคล้ำได้
บริเวณที่มักเกิดสิวฮอร์โมน
สิวฮอร์โมนมักจะเกิดขึ้นบนใบหน้า บริเวณแก้ม U-Zone ช่วงล่างของใบหน้า และในบางกรณีอาจเกิดขึ้นบริเวณหลัง อก หรือแขน
สิวฮอร์โมนที่หน้าผาก
สิวที่หน้าผาก อาจเกิดจากความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอและนอนดึก จนทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่กระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันออกมาและเกิดสิวขึ้นหน้าผากได้ นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในน้อง ๆ คนไข้ที่เพิ่งเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เพราะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างรวดเร็ว
สิวฮอร์โมนที่แก้ม
สิวที่แก้ม เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระบบฮอร์โมนภายในร่างกาย เช่น ปริมาณฮอร์โมนที่สูงขึ้น ทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและสารอื่น ๆ ในผิวหนังได้มากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการอุดตันของต่อมน้ำมันใต้ผิวหนัง และทำให้เกิดสิวที่แก้มได้
สิวฮอร์โมนที่คาง
สิวขึ้นคาง หรือสิวฮอร์โมนที่คางมักจะเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงมีประจำเดือน หรือท่านที่มีความผิดปกติของฮอร์โมน เช่น กลุ่มอาการ PCOS เป็นต้น
สิวฮอร์โมนที่หลัง
สิวที่หลัง อาจมีสาเหตุมาจากฮอร์โมนได้เช่นกัน หลักการเกิดสิวที่หลังเหมือนกับบริเวณอื่นข้างต้น แต่บริเวณหลังจะเป็นจุดที่สัมผัสกับเชื้อแบคทีเรียได้ง่าย เช่น การสวมเสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัวที่ไม่สะอาด ทำให้ไปกระตุ้นการเป็นสิวที่หลังได้ง่าย
สิวฮอร์โมนที่อก
สิวฮอร์โมนที่อกอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ฮอร์โมนส่งผลต่อการทำงานของต่อมน้ำมันในผิวหนัง ทำให้เกิดการอุดตันของต่อมน้ำมันใต้ผิวหนัง ซึ่งอาจทำให้เกิดสิวชนิดนี้บนหน้าอกได้
สิวฮอร์โมนที่แขน
เกิดจากการที่ฮอร์โมนไม่สมดุล การเพิ่มระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนอาจทำให้ไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตไขมันมากขึ้น และมีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อไขมันเหล่านี้ผสมกับปัจจัยภายนอก เช่น การสวมเสื้อผ้า การทาครีมบำรุงผิว อาจทำให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดสิวที่แขนได้ เช่นเดียวกับบริเวณอื่น ๆ
ฮอร์โมนทำให้เกิดสิวได้อย่างไร
สิวฮอร์โมนเกิดจากแอนโดรเจนหรือฮอร์โมนเพศชายในร่างกาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นได้ทั้งเพศชายและเพศหญิง หากเพศหญิงมีปริมาณแอนโดรเจนที่เหมาะสม จะไม่ทำให้เกิดปัญหาสิวชนิดนี้ แต่เมื่อแอนโดรเจนเพิ่มมากขึ้น ฮอร์โมนนี้จะไปกระตุ้นต่อมไขมันในผิวหนังให้ผลิตซีบัม ซึ่งเป็นสารที่มีความมันเพื่อช่วยหล่อลื่นผิวหนังและเส้นผม อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการผลิตซีบัมมากเกินไป จึงทำให้อุดตันรูขุมขนและเกิดสิวได้
สำหรับผู้หญิง การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างรอบเดือนสามารถนำไปสู่การเพิ่มการผลิตแอนโดรเจนได้เหมือนกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดสิวก่อนและระหว่างมีประจำเดือน รวมถึงความไม่สมดุลของฮอร์โมนก็มีส่วนทำให้ผู้หญิงเกิดสิวได้เช่นกัน
ส่วนผู้ชาย การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงวัยแรกรุ่นจะทำให้ร่างกายผลิตแอนโดรเจนมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดสิวได้ ทั้งนี้ การผลิตแอนโดรเจนยังสามารถกระตุ้นได้ด้วยยาบางชนิดเช่นกัน เช่น อนาโบลิคสเตียรอยด์ เป็นต้นH2 สิวฮอร์โมนแตกต่างจากสิวอื่นอย่างไร

สิวฮอร์โมนมีลักษณะดังนี้
- เป็นสิวชนิดหนึ่งที่มีสาเหตุหลักมาจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของแอนโดรเจน
- สิวประเภทนี้มักจะขึ้นบนใบหน้าส่วนล่าง คาง และกราม
- มีลักษณะเป็นสิวขนาดใหญ่ และลึก
- เมื่อสิวยุบมักเหลือเป็นไตแข็ง ๆ และมักอักเสบเรื้อรังซ้ำ ๆ ที่เดิม
สิวประเภทอื่น ๆ เช่น สิวจากแบคทีเรียหรือสิวอักเสบ มีลักษณะดังนี้
- สิวประเภทอื่น ๆ จะเกิดจากปัจจัยที่แตกต่างกันไป
- เกิดได้แทบทุกบริเวณของร่างกายที่มีความผิดปกติของต่อมไขมัน มีแบคทีเรีย และการระคายเคือง
- สิวจากแบคทีเรียเกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียเข้าไปทำลายรูขุมขนที่อุดตัน ทำให้เกิดการอักเสบและเกิดเป็นสิว สิวหัวดำ และสิวหัวขาว การตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อแบคทีเรียที่ไวเกินไปก่อให้เกิดสิว หรือสารระคายเคืองอื่น ๆ ในผิวหนัง
อาการของสิวชนิดนี้และสิวประเภทอื่น ๆ อาจคล้ายคลึงกัน สิวที่เกิดจากฮอร์โมนมักจะรุนแรงและคงอยู่นานกว่า โดยเฉพาะสิวซีสต์ ตุ่มสิวที่ลึก และจะรู้สึกเจ็บนานกว่าจะหาย เมื่อเทียบกับสิวประเภทอื่น
วิธีรักษาสิวฮอร์โมน
สิวฮอร์โมน รักษายังไง ผู้หญิงและผู้ชายหมอจะแนะนำให้ใช้วิธีรักษาโดยการปรับความสมดุลของฮอร์โมนด้วยการทานยา แต่เมื่อเป็นสิวชนิดนี้แล้ว การใช้ยาทาภายนอกเพื่อรักษาสิวยังคงจำเป็นอยู่เช่นกัน รวมถึง ยังมีวิธีรักษาสิวฮอร์โมนให้หายขาดวิธีอื่นที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน ได้แก่ การฉีดสิว การเลเซอร์รักษาสิว
1. ทานยารักษาสิวฮอร์โมน

- รับประทานยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) แต่การรับประทานยาอาจมีผลข้างเคียงได้ จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์
- ใช้ยาคุมกำเนิดรักษาสิวฮอร์โมน (Oral Contraceptives) เพื่อลดปริมาณแอนโดรเจน (Androgen)
- รับประทานยาไอโซเตรทติโนอินที่นิยมใช้ในการรักษาสิว สำหรับผู้ที่เป็นสิวอักเสบปานกลาง – ขั้นรุนแรง มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการทำงานของต่อมไขมันที่ผลิตซีบัม และช่วยลดการอักเสบ
2. ทายารักษาสิวฮอร์โมน

- ยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids) สามารถรักษาได้ทั้งสิวอุดตัน และสิวอักเสบ แต่ตัวยายังคงมีข้อควรระวังคือ อาจทำให้ผิวแห้งลอก และไวต่อแสงได้
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว สิวอุดตัน สิวอักเสบ มีข้อควรระวังคือ อาจทำให้ผิวแห้งลอก และระคายเคือง
3. ฉีดสิวฮอร์โมน

การฉีดสิว เป็นการฉีดยาคอร์ติโคสเตียรอยด์โดยแพทย์ เพื่อลดการอักเสบของสิว กรณีเป็นก้อนแข็งอยู่ใต้ผิวหนัง สิวอักเสบ ปวดบวมแดง ให้ผลการรักษาที่ดี แต่ควรใช้ยาทาและวิธีการรักษาอื่นๆควบคู่ไปด้วย
4. เลเซอร์สิวและการบำบัดด้วยแสง

การรักษาสิวด้วยเลเซอร์และการบำบัดด้วยแสง จะเป็นการยิงตรงเข้าไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว ช่วยลดการอักเสบ ลดโอกาสการเกิดรอยสิว ผลข้างเคียงน้อย และให้ผลลัพธ์ดีอีกด้วย
5.ใช้สารผลัดเซลล์ผิว

- กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) การใช้กรดควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ หากใช้ในปริมาณไม่เหมาะสม อาจทำให้ผิวแสบ หรือเบิร์นได้ โดยกรดอะซีลาอิก เป็นที่ได้จากสารสกัดตามธรรมชาติ มีคุณสมบัติช่วยลดการอุดตันรูขุมขน ต้านการสร้างเม็ดสี และลดรอยดำหลังจากการรักษาสิวได้ดีอีกด้วย
- ใช้เคมีผลักเซลล์ผิว (Chemical Peel) โดยการผลัดผิวหนังชั้นนอกสุดออกมา เพื่อป้องกันการอุดตันรูขุมขนและช่วยในเรื่องของการผลัดเซลล์ผิว ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ หากใช้ในปริมาณไม่เหมาะสม อาจทำให้ผิวแสบ หรือเบิร์นได้ครับ
6. ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง

การปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาสิวจะทำให้รักษาได้อย่างตรงจุดที่สุด และให้ผลลัพธ์ที่ดี เนื่องจากสิวชนิดนี้เกิดจากสาเหตุภายในร่างกาย จึงควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์จะดีที่สุด
ค้นหาคลินิกรักษาสิวใกล้ฉัน เพื่อปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้เลยครับ
แนวทางป้องกันสิวฮอร์โมน
เนื่องจากสิวฮอร์โมนเกิดจากสาเหตุภายในร่างกาย เราจึงสามารถดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ดังนี้
- พยายามไม่เครียด หากิจกรรมหรืองานอดิเรกทำเพื่อผ่อนคลายสมองบ้าง
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- รักษาความสะอาด จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวได้
- เลือกรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงของมัน ของทอด และของหวาน
- งดบีบ แกะ เกาโดยเด็ดขาด นอกจากจะทำให้สิวไม่หายแล้ว ยังทำให้เป็นหนักกว่าเดิมด้วย พร้อมเกิดรอยสิวตามมาอีก
สิวฮอร์โมนจะหายไปตอนไหน
โดยทั่วไป สิวฮอร์โมนของวัยรุ่นจะค่อย ๆ ดีขึ้นเมื่อร่างกายเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ เนื่องจากระดับฮอร์โมนเริ่มคงที่และการทำงานของต่อมไขมันลดลง ในขณะที่ผู้หญิงจะเริ่มดีขึ้นเมื่ออายุประมาณ 20-25 ปี ส่วนผู้ชายอาจต้องรอจนถึงอายุ 25-30 ปี อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาที่สิวฮอร์โมนจะหายนั้นอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยด้วย เช่น พันธุกรรม ความเครียด อาหารที่รับประทาน และการดูแลผิว
แต่ถ้าหากเป็นสิวรุนแรงหรือเรื้อรังโดนไม่มีท่าทีจะดีขึ้นแม้ดูแลผิวอย่างดีแล้ว ก็แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากอาจต้องใช้ยาเฉพาะทางเพื่อควบคุมการทำงานของฮอร์โมนและลดการอักเสบของผิว
หากต้องการคำปรึกษา สามารถสอบถามได้ที่… Line: @mvitaclinic เลยนะครับ
สิวฮอร์โมนสามารถกดได้หรือไม่
การกดหรือบีบสิวฮอร์โมนเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะสิวชนิดนี้มักเกิดการอักเสบในชั้นผิวที่ลึกและมีการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย การกดสิวจะทำให้การอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็นและรอยดำบนใบหน้าด้วย นอกจากนี้ เชื้อแบคทีเรียอาจแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ทำให้เกิดสิวลุกลามเป็นบริเวณกว้างสิ่งที่ควรทำเมื่อเกิดสิวฮอร์โมนก็คือ ควรดูแลผิวหน้าอย่างอ่อนโยน ทำความสะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงการแกะ เกา หรือสัมผัสบริเวณที่เป็นสิว ที่สำคัญคือควรรักษาความสะอาดของมือและสิ่งของที่ต้องสัมผัสกับใบหน้า เช่น หมอน ผ้าเช็ดหน้า หรือโทรศัพท์มือถือ
รีวิว รักษาสิว สิวฮอร์โมน และเลเซอร์รอยสิว
รีวิวรักษาสิวฮอร์โมนและเลเซอร์รอยสิวที่ เอ็มวีต้า คลินิก












สรุปเรื่องสิวฮอร์โมน
สิวฮอร์โมนเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจนที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป การรักษาจำเป็นที่ต้องปรึกษาแพทย์โดยตรง ไม่แนะนำให้ซื้อยาเพื่อรักษาด้วยตัวเอง หมอเอ็ม ยินดีให้คำปรึกษาฟรี!! ครับ
คุณหมอเอ็มให้กำลังใจคนเป็นสิวทุกท่านนะครับ ว่าสิวไม่มีหัวรักษาหายได้ อย่างตรงจุด ดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ กลับมาผิวสวย หน้าใส อีกครั้งครับ
ทำไมต้องรักษาสิวฮอร์โมน ที่เอ็มวีต้าคลินิก
การรักษาสิวฮอร์โมนที่เอ็มวีต้าคลินิก ทุกเคสจะได้พบแพทย์เพื่อปรึกษาก่อนคนไข้จะตัดสินใจรักษา เพื่อเลือกโปรแกรมที่เหมาะสม ซึ่งคอร์สที่หมอแนะนำสำหรับคนเป็นสิวฮอร์โมนคือ Medi-Aclear
โปรแกรม Medi – Aclear
เป็นโปรแกรมรักษาสิว เลเซอร์รักษาสิวและรอยสิว โปรแกรม Medi-Aclear ครบวงจรการรักษาสิวและตอบโจทย์ด้วยการจ่ายยาแบบ case by case โดยหมอเอ็ม นพ.มนตรี ที่ตรงตามสภาพผิวแต่ละบุคคลจริง ๆ
คอร์ส Medi-Aclear ราคา
- รายครั้ง : 3,500 บาท
- คอร์ส 5 ครั้ง : 10,500 บาท
- คอร์ส 10 ครั้ง : 17,000 บาท
หากสนใจ สามารถติดต่อเพื่อขอคำปรึกษาเพิ่มเติมได้ตามช่องทางด้านล่างนี้เลยนะครับ
- เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
- อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
- ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
- สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
- เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
- ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ
เอกสารอ้างอิง
- American Academy of Dermatology Association. Adult Acne. https://www.aad.org/public/diseases/acne/really-acne/adult-acne Accessed 9/29/2021.
- DermNet New Zealand Trust. Acne in Pregnancy.
https://dermnetnz.org/topics/acne-in-pregnancy/ Accessed 9/29/2021. - Merck Manuals. Acne.
https://www.merckmanuals.com/home/skin-disorders/acne-and-related-disorders/acne?query=hormonal%20acne Accessed 9/29/2021. - National Institute of Arthritis and Musculoskeletal and Skin Diseases. Acne. https://www.niams.nih.gov/health-topics/acne/advanced#tab-causes Accessed 9/29/2021.
วันเผยแพร่