ฝ้า ปัญหาผิวที่สร้างความกังวลใจให้ใครหลายคน โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญกับแสงแดดและมลภาวะในชีวิตประจำวัน ทำให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ ไม่สดใส และอาจบั่นทอนความมั่นใจได้ หลายท่านคงกำลังมองหาวิธีรักษาฝ้า ที่เห็นผลจริงและปลอดภัยใช่ไหมครับ บทความนี้ หมอเอ็ม จาก M VITA Clinic เลยจะพาทุกท่านไปทำความเข้าใจถึงต้นตอของฝ้า พร้อมเจาะลึกหลากหลายวิธีรักษาฝ้ายอดนิยม และเคล็ดลับการดูแลผิวไม่ให้ฝ้ากลับมากวนใจอีก
ฝ้าคืออะไร? เกิดจากอะไรได้บ้าง
ฝ้า (Melasma) คือ ภาวะที่ผิวหนังสร้างเม็ดสีเมลานินมากผิดปกติ เกิดเป็นรอยปื้นสีน้ำตาลถึงดำ มักพบบริเวณใบหน้าที่สัมผัสแสงแดดบ่อย ๆ เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก จมูก แม้ไม่เป็นอันตราย แต่ส่งผลต่อความสวยงามและความมั่นใจอย่างมาก

สาเหตุหลักของฝ้า ได้แก่
- แสงแดด (UVA/UVB) กระตุ้นการผลิตเม็ดสีโดยตรง
- ฮอร์โมน การเปลี่ยนแปลงระหว่างตั้งครรภ์, การใช้ยาคุมกำเนิด หรือฮอร์โมนทดแทน
- พันธุกรรม หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นฝ้า ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
- ปัจจัยอื่น ๆ เช่น เครื่องสำอางบางชนิดที่ทำให้ผิวไวต่อแสง, ความเครียด, ยาบางประเภท และการอักเสบของผิวหนัง
วิธีรักษาฝ้าที่นิยมในปัจจุบันมีอะไรบ้าง
การจัดการปัญหาฝ้าต้องอาศัยความเข้าใจและเลือกวิธีที่เหมาะสม ปัจจุบันมีวิธีรักษาฝ้าหลากหลายวิธี ตั้งแต่การดูแลเบื้องต้นจนถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่ง M VITA Clinic ได้รวบรวมวิธีที่ได้รับการยอมรับมาให้ทราบกัน
1. การใช้ครีมรักษาฝ้า

ครีมรักษาฝ้าเป็นวิธีรักษาฝ้าที่เข้าถึงง่าย ซึ่งครีมรักษาฝ้าสามารถช่วยลดการสร้างเม็ดสีและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอได้ โดยควรเลือกครีมที่มีส่วนผสมสำคัญ ได้แก่ ไฮโดรควิโนน (ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์), กรดวิตามินเอ (Retinoids), กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid), วิตามินซี (Vitamin C), กรดโคจิก (Kojic Acid) และ อาร์บูติน (Arbutin) การเลือกใช้ควรปรึกษาแพทย์ และที่สำคัญคือต้องทาครีมกันแดดควบคู่กันเสมอเพื่อป้องกันฝ้า
2. การรับประทานอาหารเสริม หรือวิตามินที่ช่วยลดเม็ดสี

การบำรุงจากภายในเป็นอีกวิธีรักษาฝ้าที่ช่วยเสริมให้ผิวแข็งแรงได้ วิตามินที่ช่วยได้ เช่น วิตามินซี, วิตามินอี, สารสกัดจากเมล็ดองุ่น, กรดทรานเอกซามิก (รูปแบบรับประทานต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์) และสารสกัดจากเปลือกสน ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระและลดความเข้มของฝ้าได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทาน
3. การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี

Chemical Peeling เป็นวิธีรักษาฝ้าที่ใช้กรดอ่อน ๆ เช่น กรดไกลโคลิก (AHA), กรดซาลิไซลิก (BHA), หรือ TCA ทาลงบนผิว เพื่อเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่มีเม็ดสีสะสมออก เผยผิวใหม่ที่กระจ่างใสขึ้น ทำให้รอยฝ้าจางลง แต่ควรดูแลผิวหลังทำอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการป้องกันแสงแดด เพราะผิวอาจบางลง
4. การฉีดเมโสหน้าใส หรือวิตามินลดฝ้า

การฉีดเมโสเป็นวิธีรักษาฝ้าโดยฉีดสารบำรุง เช่น วิตามินซี, กรดทรานเอกซามิก, หรือกลูต้าไธโอน เข้าสู่ชั้นผิวโดยตรงบริเวณที่มีปัญหาฝ้า เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ลดเม็ดสีได้ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ฝ้าจางลง ผิวกระจ่างใสขึ้น ซึ่งควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และอาจต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง
5. การรักษาด้วยเลเซอร์

การรักษาด้วยเลเซอร์เป็น วิธีรักษาฝ้าที่ใช้พลังงานแสงทำลายเม็ดสีผิวที่ผิดปกติอย่างตรงจุด เทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมสูงคือ Pico Laser (Picosecond Laser) ซึ่งจะปล่อยพลังงานแสงในช่วงเวลาสั้นระดับ Picosecond ทำให้เม็ดสีแตกตัวละเอียดกว่าเลเซอร์รุ่นเก่า ร่างกายจึงกำจัดเม็ดสีได้ง่ายและเร็วขึ้น
Pico Laser ยังช่วยลดผลกระทบต่อผิวข้างเคียง ลดความเสี่ยงรอยดำหลังทำ และกระตุ้นคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นด้วย แต่การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์ ควรทำโดยแพทย์ผู้ชำนาญการ
วิธีรักษาฝ้าได้ผลจริง ควรเลือกอย่างไรให้เหมาะกับผิว
การเลือกวิธีรักษาฝ้าที่ได้ผลจริงและเหมาะสมกับผิวของแต่ละคนนั้น จำเป็นต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน เพราะสภาพผิว ความรุนแรงของฝ้า สาเหตุการเกิดฝ้า และไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลมีความแตกต่างกันไป การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจึงเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุดครับ เพื่อให้แพทย์ช่วยวินิจฉัยประเภทของฝ้า ประเมินสภาพผิว และแนะนำแนวทางการรักษาที่เหมาะสมที่สุด โดยอาจพิจารณาจากข้อควรคำนึงเหล่านี้
- ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวินิจฉัยชนิดของฝ้า เช่น ฝ้าตื้น ฝ้าลึก ฝ้าผสม หรือฝ้าเลือด และประเมินสาเหตุที่แท้จริง
- พิจารณาความรุนแรงของฝ้า ฝ้าที่เป็นน้อย ๆ หรือเพิ่งเริ่มเป็น อาจตอบสนองดีต่อการใช้ยาทาหรือการผลัดเซลล์ผิวแบบตื้น ๆ แต่หากเป็นฝ้าลึกหรือเป็นมานาน อาจต้องใช้วิธีการรักษาที่ลงลึกกว่า เช่น เลเซอร์
- คำนึงถึงสภาพผิว ผิวบอบบางแพ้ง่ายอาจต้องหลีกเลี่ยงการรักษาที่รุนแรง และเลือกใช้วิธีที่อ่อนโยนกว่า หรือต้องมีการเตรียมผิวเป็นพิเศษก่อนทำการรักษา
- ประเมินไลฟ์สไตล์และความคาดหวัง หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้เลย หรือมีข้อจำกัดเรื่องเวลาในการพักฟื้นผิว ก็ต้องเลือกวิธีที่สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน และตั้งความคาดหวังต่อผลลัพธ์ให้เป็นจริง
- พิจารณางบประมาณ วิธีการรักษาแต่ละแบบมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน ควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับงบประมาณและความต่อเนื่องในการรักษา
- ความปลอดภัยและผลข้างเคียง ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากแต่ละวิธี และเลือกทำการรักษากับสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐานและแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญ
- การรักษาแบบผสมผสาน ในบางกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ใช้หลาย ๆ วิธีรักษาฝ้าร่วมกัน (Combination Therapy) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่น การใช้ยาทาร่วมกับการทำเลเซอร์ หรือการทำทรีตเมนท์ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
เคล็ดลับดูแลหลังรักษาฝ้า เพื่อไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ

การรักษาฝ้าให้จางลงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการเท่านั้น สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือการดูแลผิวอย่างถูกวิธีหลังการรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้นหรือเกิดใหม่ ซึ่งต้องอาศัยความใส่ใจและวินัยในการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ
- การป้องกันแสงแดด คือหัวใจสำคัญที่สุด
- ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ และ PA+++ ขึ้นไปทุกวัน แม้ในวันที่ไม่มีแดดจัดหรืออยู่ในที่ร่ม เพราะรังสียูวีสามารถทะลุผ่านเมฆและกระจกได้
- ทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่อต้องอยู่กลางแจ้งเป็นเวลานาน หรือมีเหงื่อออกมาก
- เลือกใช้ครีมกันแดดที่ครอบคลุมทั้งรังสี UVA, UVB และแสงสีฟ้า (Blue Light) จากหน้าจออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
- สวมหมวกปีกกว้าง แว่นกันแดด และเสื้อผ้าที่ปกปิดผิวเมื่อต้องออกไปเผชิญแสงแดดโดยตรง
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวอย่างระมัดระวัง
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง
- ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งที่สามารถใช้ต่อเนื่องได้หลังการรักษา เพื่อช่วยควบคุมเม็ดสี
- หลีกเลี่ยงการขัดหรือสครับผิวแรง ๆ เพราะอาจกระตุ้นให้ฝ้าเข้มขึ้นได้
- ดูแลสุขภาพจากภายใน
- ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอต่อวัน เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักผลไม้หลากสี
- พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด เพราะความเครียดสามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดสีได้
- หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ
- ระมัดระวังการใช้ยาบางชนิดที่อาจกระตุ้นให้เกิดฝ้า เช่น ยาคุมกำเนิด (ปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางเลือกอื่น)
- หลีกเลี่ยงความร้อนจัด เช่น การอบซาวน่า หรือการอยู่หน้าเตาไฟนาน ๆ เพราะความร้อนก็สามารถกระตุ้นฝ้าได้เช่นกัน
- พบแพทย์ตามนัดหมาย เพื่อติดตามผลการรักษาและรับคำแนะนำในการดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง แพทย์อาจปรับแผนการรักษาหรือการดูแลผิวตามความเหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว
Pico Laser ทางเลือกใหม่ในการรักษาฝ้า ที่ M Vita Clinic

จะเห็นได้ว่า วิธีรักษาฝ้ามีหลากหลายวิธี แต่การเลือกที่เหมาะสมและดูแลผิวต่อเนื่องคือสิ่งสำคัญ สำหรับท่านที่มองหาวิธีรักษาฝ้าที่เห็นผลชัดเจน รวดเร็ว และปลอดภัย M VITA Clinic ขอแนะนำ Pico Laser เทคโนโลยีเลเซอร์ล่าสุดที่จัดการปัญหาเม็ดสีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยพลังงานแสงความเร็วสูง ช่วยให้ฝ้า กระ จุดด่างดำจางลง พร้อมกระตุ้นคอลลาเจน ให้ผิวเรียบเนียน อ่อนเยาว์ โดยมีผลกระทบต่อผิวน้อยและพักฟื้นไม่นานที่ M VITA Clinic เรามีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเลเซอร์ พร้อมให้คำปรึกษาและออกแบบโปรแกรมการรักษาฝ้าด้วย Pico Laser ที่เหมาะกับคุณโดยเฉพาะ เพื่อคืนผิวใส มั่นใจอีกครั้ง ทั้งยังมี Pico Laser รีวิวความประทับใจมากมาย หากสนใจวิธีรักษาฝ้าหรือเทคโนโลยี Pico Laser สามารถติดต่อสอบถาม หรือนัดปรึกษาแพทย์กับเราได้เลยครับ
- เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
- อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
- ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
- สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
- เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
- ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ
วันเผยแพร่