สิวอักเสบ

สิวอักเสบ บวมแดง เกิดจากอะไร? รักษาอย่างไรได้บ้าง?

สิวอักเสบ เป็นตุ่มสิวที่ เจ็บ บวม แดง บางชนิดมีหนองร่วมด้วย ทำให้หลายๆคนหมดความมั่นใจ ยิ่งเจ็บปวดมากเมื่อสัมผัส และหายช้า หากรักษาผิดวิธี บีบ แกะ เกา ทำให้ผลที่ตามมาหลังหายเป็นรอยแดง รอยดำ หนักเข้าก่อให้เกิดหลุมสิวอีกด้วยครับ และในบทความนี้ หมอจะมาไขข้อสงสัยทั้งหมดเกี่ยวกับสิวอักเสบ เกิดจากอะไร ลดสิวอักเสบ และวิธีรักษาที่ถูกต้อง

ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ หมอชื่อ หมอเอ็ม นพ.มนตรี อุดมประเสริฐกุล แพทย์ประจำ เอ็มวีต้า คลินิก ครับ

สิวอักเสบ คืออะไร

สิวอักเสบ คืออะไร

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne) คือ ตุ่มสิวที่มีการอักเสบใต้ผิวหนัง โดยสังเกตง่ายๆคือมีอาการเจ็บ บวมแดง หรือตุ่มหนอง เล็ก ใหญ่ ที่รูขุมขน บางชนิดอาจไม่มีหัว หรือมีหัวได้เช่นกันครับ

โดย สาเหตุ ลักษณะ และประเภทของสิวอักเสบ หมอจะลงลึกในหัวข้อถัดไปครับ

สิวอักเสบเกิดจากอะไร

สิวอักเสบ เกิดจาก การอักเสบเรื้อรังของรูขุมขนและต่อมไขมันใต้ผิวหนัง และสิวอักเสบเกิดได้จากหลายสาเหตุ  ได้แก่

ปัจจัยภายในที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ

1. กรรมพันธุ์

กรรมพันธุ์ เป็นปัจจัยแรกๆเลย หากคนในครอบครัว เช่น พ่อ หรือ แม่ มีประวัติการเป็นสิวค่อนข้างเยอะ ที่มีผิวมันจะรูขุมขนกว้าง ผิวหยาบ รวมทั้งหน้ามันเยิ้ม ตัวคนไข้เองมีโอกาสเป็นสิวได้สูงเช่นกันครับ

2. ฮอร์โมน

ฮอร์โมน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมน โดยเฉพาะเพศชาย หรือมีฮอร์โมนเพศชาย estosterone และ dihydrotestosterone สูง พบได้ทั้งหญิง ชาย ส่วนใหญ่ในช่วงวัยรุ่น แต่เมื่ออายุประมาณ 18 – 20 ปี ฮอร์โมนจะสมดุลขึ้น สิวจะค่อยๆลดลงเองครับ

อีกหนึ่งสาเหตุได้แก่ ฮอร์โมนของผู้หญฺงในช่วงรอบเดือน เป็นอีกสาเหตุทำให้เกิดสิว เป็นสิวอักเสบได้ครับ

3. การเจริญเติบโตของแบคทีเรียในผิว

เชื้อแบคทีเรีย Propionibacterium acnes : P.Acnes หรือ Cutibacterium acnes : C.acnes (แบคทีเรียตัวนี้ จะกินน้ำมันบนผิวของเราเป็นอาหาร) แบคทีเรียที่มากขึ้น เนื่องจากชั้นผิวหนัง Stratim Corneum แบ่งตัวมากเกิน และการผลิตไขมันที่มากเกิน เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้นได้ครับ

ปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ

1. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว

ผลิตภัณฑ์เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการอุดตัน จนกลายเป็นสิวอักเสบได้ หากใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับผิว เช่น ผลิตภัณ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันหลายชนิดเลยมีคุณสมบัติที่เรียกว่า Comedogenicity หรือความสามารถที่จะก่อให้เกิดสิวอุดตันเมื่อใช้กับผิวนั่นเองครับ

2. ทำความสะอาดผิวไม่ดี

การทำความสะอาดผิวที่ไม่สะอาดพอ ในกรณีของผู้ที่ออกกำลังกายทำให้มีเหงือออกมาก และผู้ที่แต่หน้าเป็นประจำ ความสกปรกสะสม ทำให้เกิดการอุดตัน และเป็นสิวอักเสบได้อย่างแน่นอนครับ

3. เครื่องสำอาง

เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะกับคนผิวมันหรือคนเป็นสิว หรือคนที่เป็นสิวอยู่แล้ว หากยิ่งแต่งหน้าหนักๆ มีเครื่องสำอางบนผิวหน้าทั้งวัน ยิ่งก่อให้เกิดสิวครับ หมอแนะนำสำหรับผู้ที่เป็นสิว แต่งหน้าน้อยๆ บางๆ หรือเลือกใช้เครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ร่วมกับการทำความสะอาดผิวให้ดี จะช่วยได้ครับผม

4. อาหาร

อาหารก็ทำให้เกิดสิวได้เหมือนกันครับผม ได้แก่ ของทอด มัน หวาน น้ำตาลสูง โดยทุกคนอาจทราบดีอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น ช็อคโกแลต นม ในความเป็นจริง ยังไม่มีงานวิจัยที่แน่ชัดว่าอาหารเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ แต่สามารถสังเกตตัวเองได้ครับว่า ทานอาหารใดแล้วชอบเป็นสิว ให้หลีกเลี่ยงครับ

สิวอักเสบมีลักษณะอย่างไร

ลักษณะของสิว จะแบ่งตามความรุนแรงครับ

ระดับที่ 1 (อักเสบเล็กน้อย) : เช่น สิวที่มีลักษณะเป็นสิวหัวดำ สิวหัวขาว หรือ สิวตุ่ม และสิวหัวหนองที่มีขนาดเล็ก มีจำนวนไม่มาก เป็นสิวที่ไม่มีการอักเสบรุนแรง

ระดับที่ 2 (อักเสบปานกลาง) : เป็นสิวตุ่ม และสิวหัวหนองจำนวนมากทั่วใบหน้า หรือทั่วบริเวณที่พบสิว

ระดับที่ 3 (อักเสบค่อนข้างรุนแรง) : เป็นสิวตุ่มมีสิวหัวหนองร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก ลักษณะเป็นสิวอักเสบก้อนลึก จับแล้วรู้สึกเจ็บ

ระดับที่ 4 (อักเสบรุนแรง) : มีสิวตุ่มใหญ่ และสิวหัวหนองอักเสบที่สร้างความเจ็บปวด บวมไปทั่วบริเวณที่มีสิว

สิวอักเสบมีกี่ประเภท

ประเภทของสิวอักเสบ

สิวอักเสบ แบ่งประเภทได้ ดังนี้

สิวตุ่มแดง Papule

สิวตุ่มแดง Papule เป็นสิวอักเสบในระยะแรก ตุ่มสิวแดงขนาดเล็ก มีลักษณะเริ่มเจ็บ ขนาดไม่เกิน 0.5 cm

สิวหัวหนอง Pustule

สิวหัวหนอง Pustule ลักษณะตุ่มหัวสิวมีหนองขาว รุ้สึกปวด เริ่มบวมแดง สิวเกิดจากติดเชื้อแบคทีเรีย หรือไม่รักษาสิวในหัวข้อด้านบนอย่างถูกวิธีและปล่อยไว้นานครับ

สิวหัวช้าง หรือ สิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ลึก Nodule

สิวหัวช้าง Nodule มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนัง รู้สึกเจ็บและปวดมากขึ้น ภายในมีหนองป่นเลือดบางครั้งอาจเป็นหลายหัวติดกัน มีการอักเสบรุนแรงมาก รักษายาก หากรักษาผิดวิธีก่อให้เกิดหลุมสิวขนาดใหญ่ตามมาได้อีกด้วยครับ

สิวซีสต์ Cyst

สิวซีสต์ Cyst ลักษณะสิวจะเป็นก้อนนูนแดงนิ่มภายในมีถุงหนองปนเลือด พบได้ไม่บ่อยนัก ไม่แดง ไม่ปวด สิวชนิดแม้จะรักษาจนยุบแล้ว แต่หลังจากนั้นมักจะกลายเป็นแผลเป็นก้อนนูนแข็งหรือหลุมสิวขนาดใหญ่

สิวอักเสบขึ้นบริเวณไหนได้บ้าง

บริเวณสิวอักเสบ

สิวอักเสบ สามารถเกิดขึ้นได้แทบทุกส่วนของร่างกายเลยครับ เนื่องจากรูขุมขนมีการอักเสบ ทำใหเกิดตุ่มหนอง ตุ่มสิว ปวด บวม ได้ครับ ซึ่งได้แก่

1. สิวอักเสบบนหน้าผาก

สิวอักเสบที่หน้าผาก สิวขึ้นหน้าผาก เกิดได้หลายกรณี

  • สิวอุดอักเสบที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน มักจะพบในคนไข้กลุ่มวัยรุ่น 10-20 ปี เนื่องจากคนไข้กลุ่มนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
  • กรณีช่วง T-zone มีการผลิตน้ำมันของต่อมไขมันมาก ก่อให้เกิดการอุดตัน และสิวอักเสบได้ครับ
  • เส้นผมที่ไม่สะอาด หรือแพ้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม

2. สิวอักเสบที่คาง

สิวขึ้นคางอักเสบมักจะเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน พบได้บ่อยในคนไข้ผู้หญิงช่วงอายุ 20-40 ปีและ สิวมักจะอักเสบขึ้นช่วงก่อนรอบเดือนครับ

3. สิวอักเสบที่จมูก

ผู้ที่พบสิวที่จมูกอักเสบ มักเกิดในท่านที่มีบีบสิวเสี้ยน และชอบบีบสิวบริเวณจมูก ถ้าไม่ไม่สะอาด และบีบสิวไม่ถูกวิธี จะไปกระตุ้นให้สิวบวมอักเสบขึ้นมาได้ครับ

4. สิวอักเสบที่แก้ม

สำหรับสิวที่แก้มมักมีความเกี่ยวข้องกับ

  • เครื่องสำอางและการแต่งหน้า เนื่องจากบริเวณแก้มมักเป็นบริเวณที่ต้องทาเครื่องสำอางหลายขั้นตอน ทั้งทาเซรั่ม ครีม กันแดด ลงไพรเมอร์ รองพื้นลงแป้งฝุ่น บลัชออน คอนซีลเลอร์ ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะเกิดการอุดตัน กลายเป็นสิวอักเสบได้ง่ายครับ
  • การใส่หน้ากากหรือ Facial mask เนื่องจากการใส่แมสตลอดเวลาทั้งวันทำให้ผิวหนังใต้แมส มีอุณหภูมิสูงขึ้นและมีความอับชื้นซึ่งอาจกระตุ้นให้แบคทีเรียที่ผิวหนังเจริญเติบโตได้ดีขึ้นและเกิดสิวอักเสบได้ง่ายขึ้นครับ

5. สิวอักเสบที่หลัง

สิวอักเสบที่หลัง ส่วนใหญ่ที่พบ เช่น บางท่านเล่นกีฬา ออกกำลังกาย  เป็นตำแหน่งที่จะทำความสะอาดได้ค่อนข้างยาก  จึงเกิดการอุดตันขึ้นมา หรือบางท่านอาจจะแพ้ผลิตภัณฑ์เส้นผมโดยเฉพาะท่านที่มีผมยาวครับ

6. สิวอักเสบบริเวณหน้าอก

สิวขึ้นหน้าอก

  • เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน เนื่องจากน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว จนอาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว
  • อาจมาจาก ปัจจัยของระดับฮอร์โมนในร่างกาย โดยเฉพาะฮอร์โมน แอนโดรเจน ในช่วงวัยรุ่นได้เช่นกันครับ
รักษาสิวกับแพทย์
Line @ : @mvitaclinic

สิวอักเสบแบบไหน..ควรพบแพทย์

สิวอักเสบที่มีอาการแบบไหน ควรไปพบแพทย์ เพื่อได้รับการรักษา ได้แก่

  1. สิวอักเสบลุกลามทั่วผิวจนทำลายผิวหนัง
  2. สิวอักเสบที่สร้างความเจ็บปวดมาก ไม่ต้องรอให้อักเสบเป็นเวลานาน

สิวอักเสบเหล่านี้จะสร้างผลเสียตามมา อาจทิ้งรอยแผลเป็นจากสิวบริเวณกว้าง ขนาดใหญ่ หรือหลุมสิว จนผิวเสียโฉมได้

วิธีรักษาสิวอักเสบ

1. กินยารักษาสิวอักเสบ

สิวอักเสบ รักษา

สำหรับการกินยารักษาสิวอักเสบนั้น ตัวที่นิยมใช้มีดังนี้ครับ

1. ยาปฏิชีวนะ Antibiotics

สำหรับตัวยาที่นิยมใช้ได้แก่

  • Doxycycline หรือ Minocycline เป็นยาฆ่าเชื้อที่แนะนำให้ใช้เป็นลำดับแรก มีประสิทธิภาพช่วยต้านเชื้อ C.acnes  และ ช่วยลดการอักเสบของสิวด้วย
  • Erythromycin หรือ Azithromycin เป็นตัวยาทางเลือกลำดับที่ 2 แนะนำให้ใช้ในคนไข้ที่ไม่สามารถใช้ยากลุ่ม Doxycycline ได้ เช่น คนไข้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ หรือเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี หรือท่นนที่แพ้ยา Doxycycline เป็นต้น
  • ยาอื่นๆ เช่น Cotrimoxazole(TMP/SMX), Penicillin, Cephalosporin เป็นตัวยาทางเลือกลำดับที่ 3 ในกรณีที่ไม่สามารถใช้ยาลำดับที่ 1 หรือ 2 ได้จริงๆครับ

ยาปฏิชีวนะชนิดกิน ใช้ในการรักษาสิวอักเสบชนิดปานกลางถึงรุนแรง เพื่อป้องกันการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย C.acnes ที่ปัจจุบันพบได้มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ

ทั้งนี้ การรับประทานยายาปฏิชีวนะควรอยู่ในความดูแลของแพทย์นะครับ

2. ไอโซเตตริโนอิน Isotretinoin

สำหรับตัวยาที่มีงานวิจัยรับรองมากที่สุดและช่วยลดการเกิดสิวใหม่ที่ได้ผลดี ก็คือตัวยาในกลุ่มอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ Isotretinoin ซึ่งจะออกฤทธิ์โดยตรงที่ต่อมน้ำมันใต้ผิวทำให้ต่อมน้ำมันมีขนาดเล็กลง สร้างและขับน้ำมันออกมาน้อยลง ลดการอุดตันของรูขุมขนโดยตรงอีกด้วย และยังมีผลทางอ้อมช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย C.acnes ที่มีส่วนก่อให้เกิดสิว และลดการอักเสบสิว ตัวยาตัวนี้มีประโยชน์มาก และยังช่วยลดโอกาสการเกิดสิวใหม่ได้อย่างชัดเจน

ข้อควรระวัง : อย่างไรก็ตามควรใช้ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ เนื่องจากยาตัวนี้ก็มีผลข้างเคียงหลายอย่าง ใช้ในกรณีคนไข้ที่มีสิวรุนแรงค่อนข้างมาก และ ที่สำคัญยาตัวนี้ห้ามใช้ในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์เนื่องจากว่าจะมีผลต่อทารกในครรภ์ได้ครับ

2. ทายารักษาสิวอักเสบ

รักษาสิวอักเสบ

สำหรับการรักษาสิวด้วยยาลดสิว จะเป็นการรักษาสิวแบบไม่ต้องกดสิว แต่ก็สามารถใช้ร่วมกับการกดสิว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้นได้เช่นกันครับ

ยาทารักษาสิว ใช้อะไรดี ในที่นี้หมอจะแนะนำตัวยาแก้สิวชนิดทาที่มีงานวิจัยรับรองว่าสามารถลดสิวอุดตัน และสิวอักเสบได้นะครับ

1. ยาทากลุ่มเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ Benzoyl Peroxide

เป็นยาทาออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว ลดการอักเสบ และละลายสิวอุดตันด้วย แต่อ่อนกว่ายาทากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอครับ หมอแนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปแบบ ครีมหรือเจลที่เป็น Water Base ในความเข้มข้น 2.5% หรือ 5%

วิธีใช้ : ทาบางๆทั่วหน้าเช้า – เย็นทิ้งไว้ แล้วล้างออก ในเริ่มแรกควรทิ้งไว้เวลาสั้นๆ เช่น 2 นาที เพื่อลดการระคายเคืองผิว  จากนั้นค่อยๆเพิ่มเวลาทายาให้นานขึ้น จะเริ่มเห็นผลจากการรักษาได้เร็วภายใน 5 วันหลังใช้ยาครับ

ผลข้างเคียง : หลักๆจะเป็นการระคายเคือง ในความเข้มข้นที่สูงขึ้น ดังนั้น หมอแนะนำให้ใช้ความเข้มข้นน้อยๆ เช่น 2.5% จะดีกว่าครับ และ ควรระวังการระคายเคืองที่อาจมากกว่าการใช้ยาแยกกัน โดยเฉพาะในท่านที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่ายครับ

2. ยาทากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ Topical Retinoids

ยาทากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ Topical Retinoids การออกฤทธิ์ของยากลุ่มนี้ จะช่วยยับยั้งการอุดตันของรูขุมขน แล้วทำให้สิวอุดตันที่มีอยู่หลวมตัวขึ้นและหลุดออก ดังนั้นจึงทำให้สิวเก่าหลุดไปและทำให้สิวใหม่ขึ้นน้อยลงด้วยครับ นอกจากนี้ตัวยายังช่วยลดการอักเสบของสิวด้วย

แต่การใช้คนไข้ควรเข้าใจการทำงานของยา ระยะเวลาที่ควรใช้ ผลข้างเคียงและข้อควรระวังต่างๆเป็นอย่างดี และเลือกผลิตภัณฑ์รวมถึงความเข้มข้นที่เหมาะสมด้วย หรือดีที่สุดควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์จึงจะได้รับผลการรักษาที่ดีนะครับ

3. ยาทากรดอะเซเลอิค Azelaic acid

Azelaic acid ยาทาตัวนี้ช่วยในเรื่องของการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C.acnes พร้อมมีฤทธิ์ละลายสิวอุดตัน และยังมีส่วนช่วยในการรักษารอยดำจากสิว ได้อีกด้วย ตัวยาจะอยู่ในรูปครีม ความเข้มข้น 20% แบรนด์ที่เป็น original คือ Skinoren

วิธีใช้ : ให้ทาบางๆวันละ 2 ครั้งครับ

ผลข้างเคียง ข้อควรระวัง : ยาทา Azelaic acid ตัวนี้อาจทำให้มีอาการคันระคายเคืองได้ในบางท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงประมาณ 1 – 2 สัปดาห์แรกหลังทาครับ

4. ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดทา Topical Antibiotics

สำหรับยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ชนิดทา Topical Antibiotics จะออกฤทธิ์โดยตรงกับเชื้อแบคทีเรีย C.acnes ซึ่งเป็นแบคทีเรียสาเหตุหลักของการเกิดสิว และนอกจากนี้ยาในกลุ่มนี้ยังช่วยลดการอักเสบด้วยจึงเหมาะสำหรับใช้ในคนไข้ท่านที่มีสิวอักเสบ หรือมีแนวโน้มว่าสิวจะเกิดการอักเสบครับ ยาในกลุ่มนี้ที่นิยมใช้ได้แก่ Topical Clindamycin , Topical Erythromycin และ Topical Metronidazole

ผลข้างเคียง ข้อควรระวัง :  สำหรับยาในกลุ่มนี้พบปัญหาเรื่องของเชื้อดื้อยาค่อนข้างบ่อย หมอจึงแนะนำว่าไม่ควรใช้รักษาสิวเดี่ยวๆครับ เพราะอาจไม่เห็นผลได้ ให้ใช้ร่วมกับยาสิวตัวอื่นๆ เช่น Benzoyl Peroxide เป็นต้นครับ

5. ยาทาที่มีส่วนผสมของกำมะถัน Sulfur

ยาทาที่มีส่วนประกอบของกำมะถัน หรือ Sulfur มีคุณสมบัติ เป็นตัวช่วยรักษาสิวได้ดี เพราะมีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านแบคทีเรีย ใช้ได้กับทั้งสิวอักเสบและสิวหัวดำ ช่วยลดการเกิดสิวใหม่อีกด้วยครับ

ผลข้างเคียง ข้อควรระวัง : ทำให้ผิวแห้ง

3. กดสิว

กดสิวอักเสบ

การกดสิว เป็นหนึ่งหัตถการที่มีจุดประสงค์เพื่อกำจัดสิวอุดตันออกจากรูขุมขน และอาจเกิดการอักเสบในอนาคต

กดสิวประเภทไหนได้บ้าง

สิวอุดตัน : กดสิวเพื่อรักษาสิวในประเภทสิวอุดตันเท่านั้น

สิวอักเสบ : ห้ามกดสิวอักเสบ เนื่องจากอาจจะทำให้การอักเสบรุนแรงมากขึ้นได้ ยกเว้น กดโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรงเท่านั้นครับ

4. การเลเซอร์สิวและบำบัดด้วยแสง

เลเซอร์สิวอักเสบ

ปัจจุบันการรักษาสิวด้วยเลเซอร์ และ การรักษาสิวด้วยการบำบัดด้วยแสง จัดว่าเป็นการรักษาสิวทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย และยังให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ใช้เวลาน้อยกว่าครับ และจะให้ผลลัพธ์ที่ดีมากเมื่อรักษาด้วยเลเซอร์ควบคู่ไปกับรักษาสิวด้วยยาทาและยารับประทานครับ

รักษาสิวกับแพทย์
Line @ : @mvitaclinic

โดยเทคโนโลยีต่างๆเหล่านี้จะมีหลักการในการทำงานด้วยการออกฤทธิ์ต่อกลไกการเกิดสิว 2 จุด คือ ออกฤทธิ์ต่อมน้ำมันใต้ผิว (Sebaceous gland) และ ออกฤทธิ์ต่อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว C.acnes

เทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษาสิวที่น่าสนใจมีดังนี้ครับ

การบำบัดด้วยแสง

โฟโตนิวมาติกเทอราพี ( Photopneumatic Therapy ) เป็นการผสมผสานระหว่างการใช้แรงดันลบ ทำให้เกิดแรงดูด (Vacuum) ดูดหัวสิวเข้าไป และบีบเอาหัวสิวและหนองออก ช่วยลดการอักเสบของสิว จากนั้นจึงฉายแสงในช่วงคลื่น 400-1200 nm แสงจะช่วยฆ่าเชื้อ C.acnes และส่งความร้อนไปยังต่อมน้ำมันใต้ผิวครับ

การบำบัดด้วยเลเซอร์

เลเซอร์จะเป็นเทคโนโลยีที่จะใช้พลังงานแสงในช่วงความยาวคลื่นอย่างใดอย่างหนึ่งจำเพาะเจาะจงเพื่อใช้ในการรักษาปัญหาผิวพรรณต่างๆ การใช้พลังงานในรูปแบบของเลเซอร์นี้จะทำให้เราสามารถรักษาปัญหาผิวได้อย่างจำเพาะเจาะจงและสามารถใช้พลังงานที่สูงมากกว่าการบำบัดด้วยแสงทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากกว่าและเฉพาะทางมากกว่าครับ

เทคโนโลยีในกลุ่มเลเซอร์มีหลายประเภทที่น่าสนใจดังต่อไปนี้ครับ

การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ระดับต่ำ Low Level Laser Therapy
เลเซอร์สิวอักเสบ แสงสีน้ำเงิน

สำหรับการฉายแสงเลเซอร์แบบ Low Level Laser Therapy ความยาวคลื่นที่มีงานวิจัยศึกษารับรับรองผลในเรื่องของการรักษาสิวได้แก่

  • ความยาวคลื่นช่วงแสงสีน้ำเงิน 415 nm
  • ความยาวคลื่นในช่วงแสงสีแดง 633 nm

การฉายแสงเลเซอร์แบบ Low Level Laser Therapy ต่อเนื่อง 15-30 นาที ไปบนผิวหน้าหรือบริเวณอื่นของร่างกาย แนะนำทำร่วมกัน โดยแสงเลเซอร์ใน 2 ช่วงความยาวคลื่นนี้ จะออกฤทธิ์ต่อแบคทีเรีย C.acnes เป็นหลัก ดังนั้นหากใช้ควบคู่กัน ก็จะได้รับผลจากคุณสมบัติข้อดีของทั้งสองช่วงคลื่นร่วมกันครับ

โฟโตไดนามิก เทอราพี Photodynamic Therapy

การรักษาด้วย โฟโตไดนามิก เทอราพี โดยมีขั้นตอนดังนี้

  • แพทย์จะทำการทาตัวยา 5-aminolaevulinic acid (5-ALA) ทั่วหน้าก่อน 1 ชั่วโมง
  • ตามด้วยการฉายแสง ตัวยา 5-ALA

หลักการทำงานของ โฟโตไดนามิก เทอราพี คือ เมื่อยาทา 5-aminolaevulinic acid (5-ALA) จะไปสะสมที่ต่อมน้ำมันใต้ผิว เมื่อฉายแสงตามหลังจึงไปออกฤทธิ์ที่ต่อมน้ำมันโดยตรงครับ

เลเซอร์แสงสีเหลือง

แสงในช่วงคลื่นแสงสีเหลืองมีงานวิจัยรองรับว่าใช้ในการรักษาสิวได้ ได้แก่ ในช่วงความยาวคลื่น 577, 578, 595 nm ต่างครับ เลเซอร์สีเหลืองจะออกฤทธิ์ต่อแบคทีเรีย C.acnes ที่ก่อให้เกิดสิว และลดการอักเสบของสิว พร้อมส่งผลให้ผิวดีขึ้นและลดการเกิดสิวอีกด้วยครับ

เลเซอร์แสงสีเขียว

แสงเลเซอร์สีเขียวในช่วงความยาวคลื่น 532 nm ที่เป็น long pulsed ก็มีงานวิจัยว่าสามารถช่วยรักษาสิวได้เช่นกัน โดยจะออกฤทธิ์ที่แบคทีเรียี่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวเป็นหลักครับ ซึ่งหากเทียบกับเลเซอร์แสงสีเหลืองแล้ว สีเขียวจะมีประสิทธิภาพน้อยกว่าจึงไม่เป็นที่นิยมเท่าครับ

เลเซอร์แสงอินฟราเรด

แสงในช่วงคลื่นอินฟาเรดที่ความยาวคลื่น 1064 ที่เป็น long pulsed โดยออกฤทธิ์ทั้งที่ต่อมน้ำมันใต้ผิวและแบคทีเรีย C.acnes เลเซอร์แสงอินฟราเรด มีงานวิจัยว่าสามารถช่วยรักษาสิวได้ ครับ

5. การทำความสะอาดผิว และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว

สิวอักเสบ ดูแลผิว

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองผิวจะช่วยให้ คนไข้ทนต่อผลข้างเคียงของยารักษาสิวที่พบบ่อย เช่น อาการผิวแห้ง แสบ แดง ระคายผิว หรือไวต่อแดด เป็นต้น

ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว

แนะนำ : ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวแบบที่มีความอ่อนโยน

ไม่แนะนำ : ไม่แนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวแบบสครับครับ

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

แนะนำ : ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบหลักเป็นน้ำ ไม่ก่อให้เกิดการแพ้  ไม่อุดตัน และไม่ก่อให้เกิดสิว และเพื่อช่วยป้องกันอาการผิวแห้งลอก

ไม่แนะนำ : ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น น้ำมันมะพร้าว ลาโนลิน ซิลิโคน เป็นต้น จะทำให้ผิวอุดตัน และขาดน้ำอีกด้วยครับ

ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด

แนะนำ : ควรเลือกครีมกันแดดที่ป้องกันได้ทั้งแสง Ultra Violet A และ B ไม่อุดตัน และไม่ก่อให้เกิดสิว หลักๆ เพื่อช่วยลดอาการผิวไวต่อแสงจากการใช้ยารักษาสิวและป้องกันการเกิดรอยดำสิวครับ

6. การรักษาด้วยการคุมอาหาร

คุมอาหารรักษาสิวอักเสบ

สิวมีความสัมพันธ์กับการทานอาหารบางชนิด เช่น อาหารที่มีความมันสูง นมไขมันต่ำ ช็อกโกแลต เบเกอรี่ ของหวาน หรืออื่นๆ หมอแนะนำให้พยายามเลี่ยงอาหารดังกล่าวจะช่วยทำให้สิวดีขึ้น และสามารถสังเกตตัวเองว่าทานอาหารประเภทใดแล้วสิวขึ้น แนะนำให้หลีกเลี่ยง ก็จะสามารถลดโอกาสเการเป็นสิวได้อีกทางหนึ่งครับ

7. การรักษาด้วยฮอร์โมน

รักษาสิวอักเสบด้วยฮอร์โมน

ยาประเภทฮอร์โมนที่ใช้ในการรักษาสิวเป็นยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เหมาะสำหรับ “คนไข้ผู้หญิงเท่านั้น” เนื่องจากสิวเกิดจากการมีฮอร์โมนเพศชายมากเกินไปที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิวอย่างนึงครับ ยาคุมกำเนิดประกอบด้วยฮอร์โมน (เอสโตรเจนและโปรเจสติน) ที่สามารถควบคุมระดับแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) ในร่างกาย แอนโดรเจนสามารถเพิ่มการผลิตน้ำมันในผิวหนังและนำไปสู่การเกิดสิวนั่นเองครับ อย่างไรก็ตามแนะนำให้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์นะครับ

8. การรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม

สิวอักเสบ ดูแลผิว

การปรับพฤติกรรมการดูแลผิว ทายา ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ เลี่ยงปัจจัยเสี่ยงข้างต้นอย่างเคร่งครัด จะช่วยทำให้สิวขึ้นใหม่น้อยลงได้อีกทางหนึ่งครับ

9. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

สิวอักเสบ ปรึกษาแพทย์

อีกหนึ่งทางเลือก คือปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการนี้รักษาสิวจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดครับ เพื่อให้สิวที่เป็นได้รักษาอย่างถูกวิธี หายโดยเร็วและไม่ทิ้งรอยตามมา หากได้ลองรักษาสิวด้วยตัวเองบ้างแล้วยังไม่เห็นผลหรือสิวเป็นหนักมากขึ้นกว่าเดิม หมอแนะนำว่าควรเข้ารับการปรึกษาให้ต้องรักษาจะดีกว่าครับ

รักษาสิวกับแพทย์
Line @ : @mvitaclinic

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นสิวอักเสบ

เมื่อเป็นสิว ควรดูแลอย่างไร :

  • ห้าม บีบ แคะ เกา แกะสิวแรงๆ เด็ดขาด เพราะ อาจทำให้สิวกลายเป็นอักเสบรุนแรง และอาจเกิดเป็นแผลเป็นขึ้นได้ ผลที่ตามมาคือ รอยแดงสิว รอยดำสิว และหลุมสิวนั่นเองครับ บอกเลยว่ารักษายากกว่าสิวอีกครับ
  • งดสัมผัสผิวหน้าบ่อยๆ เพื่อลดการนำเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกโดยผิวหน้า ทำให้สิวอักเสบตามมาได้ครับ
  • งดแต่งหน้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ หากแต่งหน้าให้ทำความสะอาดเคื่องสำอางให้ดี หมดจดที่สุด
  • ดูแลรักษาความสะอาดเป็นสิ่งแรกที่ควรทำและง่ายที่สุด คือ ควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้า เย็น โดยล้างทั่วหน้าให้เกลี้ยงหมดจด
  • หากมีสิวเยอะ รวมสิวที่อักเสบ ลุกลาม กระทบการใช้ชีวิตประจำวัน และทำให้ขาดความมั่นใจ หมอแนะนำให้เข้ารับการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุดครับ
  • แน่นอนครับคนเป็นสิวจะเครียด ขาดความมั่นใจ พยายามอย่าเครียด หรือกังวลกับสิวที่เป็น งดส่องกระจกบ่อยๆ ช่วยได้นะครับ

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวอักเสบ

  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดสิว : อาหารที่มีน้ำตาลสูง  นม และส่วนผสมแปรรูปที่สามารถกระตุ้นให้เกิดสิว ให้เลือกรับประทานอาหารที่อุดมด้วยผลไม้ ผัก และเมล็ดธัญพืชแทน
  • รักษาความสะอาดของผิว : ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง ด้วยคลีนเซอร์ ที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
  • สำหรับผู้ที่มีผิวมันและมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ให้เน้นการขจัดสิ่งสกปรกหรือเมคอัพ (ในกรณีที่แต่งหน้า) ทำความสะอาดด้วยคลีนซิ่ง/โทนเนอร์ ออกให้หมดก่อน ทำความสะอาดผิวหน้าด้วยผลิตภัณฑ์สูตรขจัดความมัน
  • ทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน และทำให้ผิวแห้ง
  • จัดการกับความเครียด : ความเครียดสามารถเพิ่มการผลิตฮอร์โมนและการผลิตน้ำมัน ซึ่งนำไปสู่การเกิดสิว
  • ปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด : แสงแดดอาจทำให้สิวแย่ลงได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง
  • รักษาความสะอาดของเส้นผม : สระผมเป็นประจำและหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผมมันที่อาจก่อให้เกิดสิว

ผลลัพธ์อาจของการป้องกันเกิดสิวอักเสบอาจแตกต่างกันออกไป เพราะผิวของทุกคนต่างกัน หากสิวของคนไข้เริ่มรุนแรง สิ่งสำคัญคือต้องพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวางแผนการรักษาเฉพาะบุคคลอย่างต่อเนื่องจะดีที่สุดครับ

รักษาสิวอักเสบที่ไหนดี

รักษาสิวอักเสบที่เอ็มวีต้าคลินิก

แนวคิดการรักษาสิวของ เอ็มวีต้าคลินิก แตกต่างจากที่อื่นและครอบคลุม ดังนี้ครับ

  1. ลดการขับน้ำมันของต่อมน้ำมัน
  2. ลดการอุดตันของรูขุมขน
  3. ลดจำนวนแบคทีเรียที่ผิวและในรูขุมขน
  4. ลดและป้องกันการอักเสบของสิว
  5. ตัวยาที่ผ่านงานวิจัยรับรองผลที่ทาง เอ็มวีต้าคลินิก เลือกใช้ จะทำให้ผิวขับน้ำมันน้อยลงอย่างชัดเจน ภายใน 4 สัปดาห์

ขั้นตอน รักษาสิวอักเสบ และ รอยสิวด้วยเลเซอร์ ที่เอ็มวีต้าคลินิก

ทำความสะอาดผิวหน้า
1. คลีนหน้า 2  ขั้นตอน ด้วย Cleansing Milk และต่อด้วย Facial Wash เตรียมผิวก่อนเข้าสู่ขั้นตอนทรีตเมนท์รักษาสิว
ผลัดเซลล์ผิว
2. การผลัดเซลล์อย่างอ่อนโยน ด้วย Tangerine Peel ซึ่งเป็นกรดผลไม้ AHA ที่อ่อนโยนต่อผิว แต่ช่วยลดการอุดตัน รักษารอยสิว ทำให้กดสิวได้ง่ายขึ้น ละลายสิวอุดตัน ให้กดออกได้ง่ายขึ้น โดยไม่ระคายเคืองผิว ด้วยตัวยาพิเศษที่คิดค้นขึ้นโดยแพทย์ของเอ็มวีต้าคลินิก
พ่นโอโซนอุ่น สิวอักเสบ
3. เปิดรูขุมขนชั่วคราว และเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว ด้วยโอโซนอุ่น
ลดสิวอักเสบ
4. กดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญด้วยเทคนิคที่โดดเด่น กดละเอียด ไม่บวม ไม่อักเสบหลังกด และเคลียร์สิวได้อย่างรวดเร็ว
สิวอักเสบบวมแดง
5. Acne Spark เป็นการใช้คลื่นประจุความถี่สูง ลดการอักเสบสิวอย่างรวดเร็ว และฆ่าเชื้อสิว ให้สิวแห้ง หายบวมทันใจ
ฉายแสง LED
6. การฉายแสง LED PDT blue light โดยใช้แสงสีน้ำเงิน ที่ความยาวคลื่น 415 nm ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อ แบคทีเรียที่รูขุมขนชั้นตื้นได้ดีมาก ร่วมกับแสงสีแดง ที่ความยาวคลื่น 633 nm ซึ่งช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขนชั้นลึก และช่วยลดการอักเสบของสิว ทำให้สิวดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ช่วยฟื้นฟูผิวให้แข็งแรงขี้นอีกด้วย
ฉีดสิวอักเสบ
7. ฉีดสิวอักเสบ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ให้ให้สิวยุบลง
สิวอักเสบใต้ผิวหนัง
8. และร่วมกับการรักษารอยสิว ด้วยเลเซอร์คุณภาพสูง ในการเลเซอร์รอยสิว ของทางคลินิก โดย Laser หลักในการรักษา คือ QuadrostarPro Yellow และคุณหมออาจจะใช้เลเซอร์หรือเทคนิคอื่นเข้าช่วยเสริมให้ผลการรักษาดียิ่งขึ้นในบางครั้งของโปรแกรม โดยรวมอยู่ในแพคเกจนี้แล้วครับ
ยารักษาสิวอักเสบ
9. ในคอร์สยังมียาทาสูตรพิเศษของ เอ็มวีต้าคลินิก ครั้งละ 4 ชิ้น และ ยารับประทาน 1 ชุดอีกด้วยครับ

รักษาสิวกับแพทย์
Line @ : @mvitaclinic

รีวิว สิวอักเสบ บวมแดง ที่ เอ็มวีต้าคลินิก

รีวิว รักษาสิวและรอย คุณอาย 1
รีวิว รักษาสิวและรอย คุณมัช 2
รีวิว รักษาสิวและรอย คุณนัท 1

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวอักเสบ ( Q & A )

Q : สิวอักเสบหายเองได้ไหม

สิวอักเสบสามารถหายได้เองครับ ในเฉพาะบางเคส หากรู้วิธีดูแลรักษา แต่หากปล่อยไว้นานรักษาเองแล้วไม่ดีขึ้น อักเสบลุกลาม ผลตามมาคือรอยจากสิว และหลุมสิว ดังนั้น ควรพบแพทย์ให้รักษาตามอาการอย่างเหมาะสม และถูกวิธีดีกว่าครับ

Q : สิวอักเสบบีบได้ไหม

สิวอักเสบบีบได้ครับ แต่ไม่แนะนำให้บีบ หรือกดเองนะครับ เสี่ยงก่อให้เกิดการติดเชื้อ และเชื้อแบคทีเรียจากหนองยังจะกระจายออกไปตามผิวหนัง ทำให้เสี่ยงเกิดสิวและติดเชื้อมากกว่าเดิมได้ ผลตามมาก็คือผิวจะช้ำเจ็บ หลังหายจำเป็นรอยดำ รอยแดง จากสิว หรือหลุมสิวขาดใหญ่ได้ครับ และห้ามกดหรือบีบเด็ดขาดโดยเฉพาะสิวอักเสบขนาดใหญ่ สิวหัวช้าง และสิวซีสต์ สามารถเกิดการอักเสบลุกลามใต้ผิวหนังได้เลยนะครับ

Q : สิวอักเสบ กี่วันหาย

สิวอักเสบกี่วันหาย หากรักษาโดยแพทย์จะหายได้เร็วกว่าการรักษาด้วยตัวเอง จะขึ้นอยู่กับลักษณะของสิวอักเสบครับผมเป็นแบบไหน และอักเสบมากน้อยในระดับไหน ถ้าปล่อยไว้ไม่รักษาให้หายเองหรือทายาอาจใช้เวลาหน่อย 3 – 6 สัปดาห์ แต่ถ้าอักเสบเพิ่มขึ้นหรือไปสัมผัส แกะ บีบ จะใช้เวลานนานเลยครับ และไม่หายสักทีหากบีบ แกะ เป็นประจำ ไม่แนะนำครับ

Q : เป็นสิวอักเสบใช้สกินแคร์ ทาครีมกันแดดได้ไหม

เป็นสิวอักเสบ สามารถใช้สกินแคร์ได้ครับผม ในกลุ่มไม่มีส่วนผสมของน้ำมันที่ทำให้เกิดการอุดตัน และควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงให้ผิวแข็งแรงอยู่สม่ำเสมอ แต่ต้องมันใจด้วยครับว่าผลิตภัณฑ์นั้นเราไม่มีอาการแพ้ และในส่วนของครีมกันแดดสำคัญครับ แบบ Physical ไม่มีสารเคมี ควรใช้เป็นประจำทุกวัน

สรุปเรื่องสิวอักเสบ

สิวอักเสบ เกิดจากการอุดตันบริเวณรูขุมขน ที่เกิดจากไขมัน เซลล์ผิวที่ตาย และเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า P.acnes ซึ่งไปกระตุ้นทำให้เกิดสิวอักเสบ สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ก็สามารถรักษาให้หายได้เช่นกันครับ เพียงแต่ต้องใช้เวลา ไม่แนะนำรักษาด้วยวิธีการรักษาด้วยการกดสิว บีบสิวด้วยตัวเอง จะทำให้อาการอักเสบของสิว ทำให้เกิดการลุกลามไปยังบริเวณใกล้เคียงด้วย

ซึ่งวิธีรักษาสิวอักเสบที่ดีที่สุด คือการปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจหาสาเหตุและทำการรักษาให้ตรงจุด ช่วยให้รักษาให้หายได้เร็วขึ้น ลดการเกิดรอยดำ รอยแดง รอบแผลเป็นจากสิว และเกิดหลุมสิวได้ครับ ซึ่งผลลัพธ์ของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไปตามแต่สภาพผิว

เอ็มวีต้า คลินิก เราเป็นคลินิกที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านนี้ โดยตรง หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามแพทย์เพิ่มเติมได้จากช่องทางด้านล่างหรือแอดไลน์เพื่อการปรึกษาโดยตรงกับทางเรา ได้ที่…

คุณหมอเอ็มให้กำลังใจคนมีปัญหาสิว สิวอักเสบ ที่ขาดความมั่นใจเรื่องผิวทุกท่านนะครับ ว่ารักษาหายได้ อย่างตรงจุด ดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ กลับมาผิวสวย หน้าใส อีกครั้งครับ หมอเอ็ม ยินดีให้คำปรึกษาฟรี!! ครับ

  • เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
  • อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
  • ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
  • สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
  • เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
  • ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ

เอกสารอ้างอิง

  • Dall’Oglio F, Nasca M, Fiorentini F, Micali G: Diet and acne: Review of the evidence from 2009 to 2020. Int J Dermatol 60(6):672–685, 2021. doi: 10.1111/ijd.15390. https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/33462816/
  • Bienenfeld A, Nagler AR, Orlow SJ: Oral antibacterial therapy for acne vulgaris: An evidence-based review. Am J Clin Dermatol 18(4):469–490, 2017. doi: 10.1007/s40257-017-0267-z https://link.springer.com/article/10.1007/s40257-017-0267-z
  • Blasiak RC, Stamey CR, Burkhart CN, et al: High-dose isotretinoin treatment and the rate of retrial, relapse, and adverse effects in patients with acne vulgaris. JAMA Dermatol 149(12):13

วันเผยแพร่

ปรึกษาทุกปัญหาความงามกับคุณหมอโดยตรง

    ชื่อ-สกุล*:

    เบอร์ติดต่อกลับ*:

    อีเมล์สำหรับส่งข้อมูล *

    เพศ:

    ชายหญิง

    อายุ (ปี):


    ต้องการปรึกษาคุณหมอเรื่องใด*: