สิววหัวช้าง สาเหตุเกิดจากอะไร รักษาอย่างไร 2

สิวหัวช้างรักษาอย่างไร? สาเหตุการเกิดคืออะไร?

สิวหัวช้าง หรือที่หลายคนเรียกว่าสิวอักเสบรุนแรง เป็นปัญหาผิวที่ไม่เพียงแต่สร้างความเจ็บปวดทางร่างกาย แต่ยังส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในตัวเองอีกด้วย หลายคนอาจสงสัยว่า “สิวหัวช้างเกิดขึ้นได้อย่างไร?” หรือ “ทำไมรักษาแล้วไม่หายขาด?” บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวหัวช้าง พร้อมทั้งแนะนำวิธีการรักษาและดูแลผิวอย่างถูกวิธี เพื่อคืนความเรียบเนียนและมั่นใจให้กับผิวหน้าของคุณอีกครั้ง

รักษาสิวกับแพทย์
Line @ : @mvitaclinic

สิวหัวช้าง คืออะไร

สิวหัวช้าง คืออะไร

สิวหัวช้าง หรือที่เรียกว่าสิวอักเสบรุนแรง (Nodulocystic acne หรือ Severe Nodular acne) เป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่เกิดจากการอักเสบลึกในชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ทำให้สิวมีลักษณะเป็นก้อนขนาดใหญ่ ไม่มีหัวชัดเจน หรือบางครั้งอาจมีหัวสิวเล็ก ๆ หลายหัวรวมอยู่ในเม็ดเดียว สิวหัวช้างเกิดจากการกระตุ้นของแบคทีเรียทำให้สิวอุดตันในรูขุมขนบวมนูนขึ้นมา ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้สร้างเอนไซม์ที่ย่อยสลายน้ำมันในรูขุมขนให้กลายเป็นกรดไขมัน ส่งผลให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง สิวชนิดนี้จะเกิดการอักเสบที่ผิวหนังชั้นแท้ (Dermis) ทำให้รักษาได้ยากกว่าสิวประเภทอื่น ๆ มักมีลักษณะเป็นตุ่มสีแดง บวม อ่อนนุ่ม และมีหนองอยู่ภายใน เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บหรือปวดตุบ ๆ และในบางกรณีสิวหัวช้างอาจใหญ่จนเกิดซีสต์เทียมภายใน (Pseudocysts) สิวชนิดนี้นอกจากจะขึ้นบริเวณใบหน้าแล้ว ยังสามารถเกิดตามผิวหนังส่วนอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น หน้าอก หลังช่วงบน ไหล่ หรือแม้กระทั่งบริเวณรักแร้ เป็นต้น

ด้วยลักษณะเฉพาะของสิวหัวช้างที่อักเสบลึกและมีหนอง การรักษาด้วยวิธีกดสิวธรรมดาจึงไม่สามารถช่วยได้ แพทย์ผิวหนังมักแนะนำให้รักษาด้วยยาทาในกลุ่มเรตินอยด์ ยาปฏิชีวนะ หรือยาที่ช่วยลดการอักเสบและควบคุมการติดเชื้อ อย่างไรก็ตาม สิวหัวช้างมักก่อให้เกิดรอยแผลเป็น เช่น รอยดำ รอยแดง หรือหลุมสิวลึกหลังการรักษา ซึ่งต้องใช้เวลาและวิธีการเฉพาะในการดูแลเพิ่มเติมเพื่อลดรอยแผลให้จางลงอย่างมีประสิทธิภาพ

สิวหัวช้างมีลักษณะอย่างไร

สิวหัวช้างมีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีแดงขนาดใหญ่ มีอาการบวมแดงรอบฐานสิว เนื่องจากมีปฏิกิริยาการอักเสบและมีหนองเข้าไปคั่งอยู่ บางคนเรียกว่าสิวหนองไม่มีหัว เมื่อเอามือไปสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ ในรายอาจมีอาการคันร่วมด้วย หากมีการอักเสบรุนแรงขึ้นอาจเกิดเป็นถุงหนองได้ รวมถึงสามารถมองเห็นได้ชัดเจน ยากต่อการปกปิด

หากปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็น หรือหลุมสิวลึกขนาดใหญ่บนผิวของเราได้ หากเกิดสิวหัวช้าง มีอาการเจ็บปวดมาก ท่านสามารถค้นหาคลินิกรักษาสิว ใกล้ฉัน เพื่อเข้ารับการรักษาอย่างตรงจุด และลดการเกิดการอักเสบที่รุนแรงต่อไปครับ

สาเหตุของสิวหัวช้างมาจากอะไร

ต้นเหตุของการเกิดสิวหัวช้างมีอยู่หลายสาเหตุปัจจัย ดังนี้

1. แบคทีเรีย C.acnes

แบคทีเรีย C.acnes ก่อให้เกิดสิวหัวช้าง

แบคทีเรีย C.acnes (Cutibacterium acnes) เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังและรูขุมขน เมื่อถูกกระตุ้นหรือมีมากเกินไปสามารถส่งผลให้เกิดสิวหัวช้างได้ หากแบคทีเรีย C.acne นี้เพิ่มจำนวนมากขึ้นจะทำให้รูขุมขนเกิดการอักเสบ และเป็นต้นเหตุของการเป็นสิวอักเสบ

2. ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป

ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป

เมื่อต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป (Sebum production) และบริเวณท่อรูขุมขนเกิดการอุดตันขึ้นจากเซลล์ผิวที่ลอกหลุดสะสมอยู่ในรูขุมขน จึงทำให้เกิดการสะสมของน้ำมันค้างอยู่ในรูขุมขนจนจับตัวกันแน่น เกิดเป็นสิวอุดตันขึ้น ต่อมาการอุดตันนี้ทำให้รูขุมขนขาดออกซิเจน แบคทีเรีย C.acnes ต้นเหตุของการเกิดสิวหัวช้างจึงเจริญเติบโตได้ดีนั่นเอง เนื่องจากเจ้าแบคทีเรียชนิดนี้จะไม่ค่อยชอบออกซิเจน

3. ฮอร์โมนในร่างกาย

ฮอร์โมนในร่างกาย

สิวหัวช้างสามารถเกิดได้จากฮอร์โมนในร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือความไม่สมดุลของฮอร์โมน เมื่อฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) หรือที่เรียกกันว่าฮอร์โมนเพศชายเพิ่มสูงขึ้น ฮอร์โมนนี้จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการอุดตันและมีโอกาสเกิดเป็นสิวหัวช้างได้

4. พักผ่อนไม่เพียงพอ

พักผ่อนไม่เพียงพอ

การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการอดนอนถือเป็นความเครียดชนิดหนึ่งที่มีผลต่อระดับการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย เมื่อมีความเครียดร่างกายจะมีการสร้างน้ำมันที่มากกว่าปกติ ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวหัวช้าง

5. สัมผัสหน้าบ่อย

สัมผัสหน้าบ่อย

การใช้มือสัมผัสที่ใบหน้าบ่อยๆ โดยที่ไม่ได้ทำความสะอาด เป็นพฤติกรรมที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่ผิวหนัง เพราะมือเรามักมีเชื้อแบคทีเรีย หรือสิ่งสกปรกสะสมอยู่ตามซอกเล็บ ง่ามนิ้วมือ ปลายนิ้ว เมื่อนำมาสัมผัสกับใบหน้าจึงอาจทำให้ผิวหนังเกิดการติดเชื้อนั่นเอง 

6. ล้างหน้าไม่สะอาด

ล้างหน้าไม่สะอาด

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวหัวช้างคือ การล้างหน้าไม่สะอาด เมื่อล้างหน้าไม่สะอาดก็จะทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกบนใบหน้า รวมถึงเกิดการอุดตันของสิ่งสกปรกในรูขุมขนทำให้เกิดสิวตามมา

7. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว

ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว

หากใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง ก็เป็นหนึ่งสาเหตุของการเกิดสิวหัวช้างได้ เช่น ผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของซิลิโคน น้ำหอม หรือแอลกอฮอล์มากเกินไป เนื่องจากส่วนผสมเหล่านี้อาจทำให้เกิดการอุดตัน หรือทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ 

ปัจจัยอื่น ๆ

สิวหัวช้างที่เกิดจากปัจจัยอื่นๆ
  • การตั้งครรภ์
  • ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovarian Syndrome: POS)
  • กรรมพันธุ์จากทางครอบครัว อาจมีแนวโน้มที่เป็นสิวชนิดนี้ได้มากกว่าปกติ
  • มลพิษทางอากาศ เช่น ควันรถ ฝุ่น สามารถทำให้เกิดการระคายเคืองผิวได้
  • การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง แป้ง ไขมัน หรือของมันเป็นประจำ
  • การเสียดสีจากการสวมใส่หน้ากากอนามัย
รักษาสิวกับแพทย์
Line @ : @mvitaclinic

บริเวณที่มักเกิดสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างมักเกิดขึ้นตามจุดต่างๆ บริเวณใบหน้า เช่น คาง จมูก หน้าแก้ม นอกจากนี้สิวชนิดนี้ยังสามารถเกิดตามผิวหนังร่างกายส่วนอื่นได้ โดยบริเวณที่มักเกิด มีดังนี้

คาง

สิวหัวช้างที่คางเป็นบริเวณที่เกิดสิวหัวช้างได้ง่ายที่สุด เพราะมีโอกาสสัมผัสกับสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคจากมือเราได้มากที่สุดครับ เช่น นั่งเท้าคาง เกาคาง นอกจากนี้การสวมใส่หน้ากากอนามัยยังเป็นหนึ่งในปัจจัยทำให้เกิดสิวขึ้นคางอีกด้วย เพราะมีการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย เครื่องสำอาง ฝุ่นละอองต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการอุดตัน รวมถึงความอับชื้น และการเสียดสีของหน้ากากอนามัย

จมูก

จมูกเป็นหนึ่งในบริเวณ T-zone ที่มักเกิดความมันบนใบหน้าได้มากกว่าจุดอื่นๆ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก จึงมีโอกาสเกิดการอุดตันของระบบต่อมไขมันในรูขุมขน

แผ่นหลัง

บริเวณหลังเป็นบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก รวมถึงมีความอับชื้นจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ เมื่อมีการเสียดสีจากการสวมเสื้อผ้าเป็นประจำทุกวันก็สามารถก่อให้เกิดสิวที่หลังได้

วิธีรักษาสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างใหญ่มากรักษาหายไหม? ถึงแม้ว่าใครหลายคนจะบอกว่าสิวชนิดนี้รักษายาก แต่ถ้าหากรักษาอย่างถูกวิธีก็สามารถทำให้ผิวของเรากลับมาเรียบเนียนได้ สำหรับวิธีรักษาสิวหัวช้างมีด้วยกันหลากหลายวิธี โดยส่วนมากจะใช้หลายๆ วิธีร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

1. กินยา

กินยารักษาสิวหัวช้าง

ยารับประทานที่ใช้รักษาสิวหัวช้างจะช่วยปรับฮอร์โมน ลดการทำงานของต่อมไขมัน ลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงช่วยในเรื่องกระบวนการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นไปตามปกติ ทั้งนี้หากต้องการใช้ยารับประทานควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน สำหรับยาที่นิยมใช้รักษา มีดังนี้

  • ยารับประทานที่เป็นยาปฏิชีวนะ มีประสิทธิภาพในการลดจำนวนเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิวหัวช้าง โดยยาที่มีจำหน่ายตามร้านขายยาได้แก่ Tetracycline และ Doxycycline ยาทั้งสองตัวนี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้คลื่นไส้อาเจียน จึงควรรับประทานหลังอาหาร รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้ในสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร
  • ยารับประทาน Isotretinoin มักใช้ในผู้ที่มีสิวหัวช้างอักเสบอย่างรุนแรง ทั้งนี้ยาตัวนี้อาจมีผลข้างเคียง เช่น ผิวแห้ง ผิวไวต่อแสง จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดร่วมด้วย และไม่ควรใช้ในสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์

คำเตือน : การใช้ยารักษาสิวควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ หากมีอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที และไม่ควรซื้อยามารับประทานเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์

2. ใช้ยาทา

ทายารักษาสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างทายาอะไร? ยารักษาชนิดทาเหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวอักเสบเพียงเล็กน้อย โดยยาที่นิยมใช้ได้แก่ 

  • ยาทาที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว ได้แก่ Benzoyl Peroxide, Azelaic Acid, Retinoids ส่วนใหญ่ยาเหล่านี้จะมาในรูปแบบครีมหรือเจล ใช้ทาบางๆ บริเวณที่มีสิว วันละ 1-2 ครั้ง แต่อาจมีผลข้างเคียงคือ ผิวลอก ระคายเคืองผิวหนัง แสบผิว หากใช้ยากลุ่มนี้หมอแนะนำให้หลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดร่วมด้วย สำหรับรายละเอียดคร่าวๆ ของยาทาที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวมีดังนี้
  • Retinoids เป็นยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ ช่วยในเรื่องการอักเสบและลดการอุดตันในรูขุมขน ทำให้สิวอักเสบน้อยลง แต่ข้อควรระวังในการใช้คือ อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ผิวบาง และไวต่อแสงแดดได้
  • Benzoyl Peroxide เป็นยาทาสิวที่ใช้ได้กับสิวทุกรูปแบบรวมถึงสิวหัวช้างด้วย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ยาตัวนี้ควรใช้ภายใต้คำสั่งของแพทย์เพื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ยา Benzoyl Peroxide อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรง ดังนั้นควรทดสอบการแพ้ก่อนเริ่มใช้ยา
  • Azelaic Acid เป็นยาทาสิวที่สกัดมาจากธรรมชาติ มีคุณสมบัติช่วยกำจัดแบคทีเรีย ช่วยผลัดเซลล์ผิว มีข้อจำกัดคือหากใช้ในปริมาณมากเกินไปอาจเสี่ยงทำให้ผิวไหม้ได้ จึงนิยมใช้รักษาในผู้ที่เป็นสิวหัวช้างระดับรุนแรงเท่านั้น
  • ยาทาที่เป็นยาปฏิชีวนะ ได้แก่ Clindamycin และ Erythromycin ใช้ทาเฉพาะบริเวณที่เป็นสิวหัวช้าง วันละ 2-3 ครั้ง หลังใช้อาจพบผลข้างเคียงได้คือ ผิวบาง แสบผิว ผิวลอก ระคายเคืองผิวหนัง
รักษาสิวกับแพทย์
Line @ : @mvitaclinic

3. ใช้ผลิตภัณฑ์ลดการอักเสบ

ใช้ผลิตภัณฑ์ลดการอักเสบ

วิธีรักษาสิวหัวช้างนอกจากจะใช้ยาทาหรือยารับประทานแล้ว ยังสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้า หรือสกินแคร์ต่าง ๆ ที่อ่อนโยนเหมาะกับสภาพผิวของตนเอง เพื่อช่วยลดการอักเสบของสิวชนิดนี้ได้ เช่น 

  • ใช้แผ่นแปะสิวเพื่อช่วยลดการบวมแดง 
  • ใช้คลีนซิ่งเพื่อทำความสะอาดใบหน้าให้หมดจดก่อนล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้า 
  • ใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยลดการอักเสบของสิว เช่น สารสกัดจากใบบัวบก (Cica), Salicylic Acid, Retinoids เป็นต้น

4. เลเซอร์สิวหัวช้าง

เลเซอร์สิวหัวช้าง

การเลเซอร์สิว หรือการเลเซอร์รอยสิวจะช่วยลดจำนวนแบคทีเรีย C.acne ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวหัวช้าง รวมทั้งช่วยกำจัดไขมันที่อุดตันในรูขุมขนหลุดออกไป ทั้งนี้การเลือกใช้วิธีเลเซอร์สิวจะขึ้นอยู่กับสภาพผิว และความรุนแรงของสิว โดยเลเซอร์ที่นิยมใช้รักษาสิว และรอยสิว เช่น 

5. ฉีดสิว

ฉีดสิว

การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เข้าที่สิวโดยตรงเป็นหนึ่งในการรักษาที่ได้ผลดีสำหรับรักษาสิวหัวช้าง เนื่องจากสามารถลดการอักเสบลงได้ สิวยุบลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังลดโอกาสการเกิดแผลเป็นอีกด้วย แต่การฉีดสิวนี้เป็นเพียงแค่ลดการอักเสบเท่านั้น ไม่ได้เป็นการรักษาสิวที่ต้นเหตุ ดังนั้นวิธีนี้จึงเหมาะกับผู้ที่มีความจำเป็น หรือมีงานสำคัญมากกว่าใช้เป็นวิธีหลักในการรักษาสิวหัวช้าง

ปรึกษาแพทย์

ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอันดับต้นๆ หากต้องการรักษาสิวหัวช้าง เพราะสิวชนิดนี้นั้น เป็นสิวที่รักษาให้หายยาก และไม่ควรบีบสิวเป็นอย่างยิ่ง ถ้ารักษาแบบผิดวิธียังเสี่ยงต่อการทิ้งร่องรอยสิวเอาไว้อีกด้วย

ดังนั้นการเข้าปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนจะช่วยวางแผนรักษาสิวได้อย่างถูกวิธี เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และระดับความรุนแรงของสิว อีกทั้งแพทย์ยังช่วยวิเคราะห์หาสาเหตุของการเกิดสิวได้ 

วิธีดูแลตัวเอง เมื่อเป็นสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างเป็นสิวที่มีการดูแลรักษายาก หากได้รับการดูแลแบบผิดวิธีอาจทำให้สิวหายช้าได้ ฉะนั้นเราจึงต้องมีวิธีการดูแลตัวเองที่ถูกต้อง เพื่อช่วยไม่ให้เจ้าสิวชนิดนี้เกิดการอักเสบมากขึ้น และทิ้งรอยแผลเป็นจากสิวเอาไว้บนใบหน้าของเรา ดังนี้

  • ไม่สัมผัสบริเวณที่เป็นสิว เพราะเสี่ยงต่อเชื้อโรคเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบมากกว่าเดิมได้
  • ไม่บีบสิว หรือพยายามบีบหนองที่อยู่ภายในสิวให้แตกออก เพราะอาจเกิดการอักเสบมากขึ้น และทำให้เกิดเป็นแผลขนาดใหญ่ ส่งผลให้เป็นหลุมสิวขนาดลึกได้
  • รักษาสิวด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อช่วยควบคุมเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ หรือทายารักษาสิวที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว
  • ควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่ให้อุดตันในรูขุมขน
  • เลือกใช้สกินแคร์ หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยน เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเอง เพื่อป้องกันการแพ้และการระคายเคืองผิว
  • หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรง และควรทาผลิตภัณฑ์กันแดดร่วมด้วย เนื่องจากแสงแดดสามารถกระตุ้นให้ผิวเกิดการผลิตไขมันมากกว่าปกติ
  • หากเป็นสิวหัวช้างบริเวณหลัง หรือตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้ารัดรูปเพื่อลดการอักเสบและการระคายเคืองของผิวหนัง

วิธีป้องกันสิวหัวช้าง

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวหัวช้างเพิ่มขึ้น รวมถึงรอยดำ รอยแดง จากสิว สามารถปฏิบัติตามง่าย ๆ ตามหมอแนะนำ ดังนี้

  1. งดการสัมผัสใบหน้า เกา แกะ หรือบีบสิว เพราะอาจมีเชื้อโรคเข้าไปกระตุ้นให้เกิดสิวได้ นอกจากนี้หากไปยุ่งหรือแกะเกาบริเวณที่เป็นสิว ยังเสี่ยงทำให้เป็นรอยดำหรือรอยแผลเป็นจากสิวอีกด้วย
  2. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หากมีการแต่งหน้า ควรเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางด้วยคลีนซิ่งออกให้หมดก่อน เพื่อป้องกันการอุดตันของส่วนผสมในเครื่องสำอาง
  3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาด 
  4. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่กระตุ้นให้เกิดสิว เช่น ของมัน ของทอด ของหวาน แป้ง
  5. ควรซักทำความสะอาดผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม และผ้าเช็ดตัวอยู่เสมอ อย่างน้อยทุก 1-2 สัปดาห์ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย

รักษาสิวหัวช้างที่เอ็มวีต้าคลินิก (M Vita Clinic)

สำหรับผู้ที่กำลังเลือกคลินิกรักษาสิวหัวช้างที่ไหนดี ที่ M Vita Clinic เป็นคลินิกที่ให้บริการดูแลด้านความงามมามากกว่า 14 ปี นำโดยนายแพทย์มนตรี อุดมประเสริฐกุล และทีมพยาบาล โดดเด่นในด้านรักษาสิวหัวช้าง และสิวทุกประเภท รอยสิว และหลุมสิว การันตีผลลัพธ์รักษาหายมากกว่า 8,000 คน M Vita Clinic พร้อมให้บริการด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์มาตรฐานสากล ไม่ว่าจะเป็น Pro Yellow Laser, Fotona SP Spectro, Spectra XT, Forma เป็นต้น ในทุกขั้นตอนการรักษาจะอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด

รักษาสิวกับแพทย์
Line @ : @mvitaclinic

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวหัวช้าง ( Q & A )

Q : สิวหัวช้างหายเองได้ไหม

สิวหัวช้างไม่สามารถปล่อยให้หายไปเองได้ครับ เนื่องจากสิวชนิดนี้เกิดขึ้นที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) หากปล่อยทิ้งไว้ให้หายเอง สิวอาจกินพื้นที่ขยายตัวมากขึ้น หรืออาจขึ้นหลายตุ่มในบริเวณเดียวกันได้ อีกทั้งยังทิ้งรอยแผลเป็นหรือหลุมสิวลึกไว้อีกด้วย ทำให้จำเป็นต้องใช้ยาเพื่อกำจัดเชื้อออกไป 

สำหรับใครที่สงสัยว่าหลุมสิวหายเองได้ไหม สามารถคลิกลิงก์เพื่ออ่านต่อในบทความที่หมอเขียนไว้ได้เลยครับ

Q : สิวหัวช้างกดได้ไหม

สิวหัวช้างเป็นสิวอักเสบรุนแรงใต้ผิวหนังจึงไม่สามารถกดออกมาได้ การรักษาจึงนิยมใช้ยาร่วมกับหัตถการอื่นๆ อย่างเช่น ฉีดสิว หรือเลเซอร์มากกว่า นอกจากนี้สิวชนิดนี้ยังสามารถทิ้งรอยหลุมสิวลึกเอาไว้ได้หากทำการกดหรือบีบออกมา ดังนั้นเมื่อพบว่าเป็นสิวหัวช้างควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวางแผนรักษาให้เหมาะสมกับตนเองนะครับ

Q : สิวหัวช้าง กี่วันหาย

ระยะเวลาที่ใช้รักษาสิวหัวช้างค่อนข้างใช้เวลานานครับ เนื่องจากเป็นสิวที่มีขนาดใหญ่ มีการอักเสบ และอยู่ลึกเข้าไปในชั้นผิว อาจเป็นสัปดาห์หรือหลายเดือน ขึ้นอยู่กับว่าคนไข้แต่ละคนตอบสนองต่อยาหรือการรักษามากน้อยแค่ไหน รวมถึงสภาพผิวของแต่ละบุคคลอีกด้วย

Q : สิวหัวช้างปล่อยทิ้งไว้เป็นรอยสิวจริงไหม

สิวหัวช้างถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการรักษา สามารถก่อให้เกิดรอยสิวหรือหลุมสิวลึกได้ง่ายครับ เนื่องจากสิวชนิดนี้เป็นสิวที่มีการอักเสบรุนแรงในรูขุมขน ภายในมีหนอง หากไม่ทำการรักษาอาจทำให้เป็นรอยสิว และเกิดแผลเป็นขนาดใหญ่ได้

Q : สิวหัวช้างต่างจากสิวอักเสบอย่างไร

สิวหัวช้างเป็นหนึ่งในประเภทของสิวอักเสบ ซึ่งสิวอักเสบสามารถแบ่งได้ตามความรุนแรงและขนาดของตุ่มสิวคือ สิวตุ่มนูนแดง (Papule) สิวหัวหนอง (Pustule) และสิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ (Nodule) หรือที่เรียกกันว่า “สิวหัวช้าง” กันนั่นเอง

สรุปเรื่องสิวหัวช้าง

สิวหัวช้าง มักมีการอักเสบลึกลงไปในชั้นหนังแท้ เป็นสิวที่รักษาได้ยาก ต้องใช้ระยะเวลาในการดูแลรักษา หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รับการรักษาอย่างถูกวิธี สิวประเภทนี้อาจทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยหลุมสิวลึกเอาไว้ที่ผิวหน้าของเราได้ ดังนั้นเมื่อพบว่าเริ่มเป็นสิวหัวช้างควรรีบพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรักษาให้ถูกต้องเหมาะสม 

คลินิกรักษาสิวใกล้ฉัน M Vita Clinic นำทีมโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านความงาม มากกว่า 14 ปี ผู้ที่ต้องการรับคำปรึกษาจากหมอ หรือนัดเข้ารักษาสามารถติดต่อตามช่องทางต่อไปนี้ได้เลยครับ

  • เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
  • อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
  • ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
  • สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
  • เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
  • ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ

เอกสารอ้างอิง 

วันเผยแพร่

ปรึกษาทุกปัญหาความงามกับคุณหมอโดยตรง

    ชื่อ-สกุล*:

    เบอร์ติดต่อกลับ*:

    อีเมล์สำหรับส่งข้อมูล *

    เพศ:

    ชายหญิง

    อายุ (ปี):


    ต้องการปรึกษาคุณหมอเรื่องใด*:

    เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ สามารถศึกษา นโยบายความเป็นส่วนตัว และจัดการความเป็นส่วนตัว ได้ที่ ตั้งค่า

    ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

    คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

    ยอมรับทั้งหมด
    จัดการความเป็นส่วนตัว
    • เปิดใช้งานตลอด

    บันทึกการตั้งค่า