สิวอุดตัน (Comedone) เป็นปัญหาสิวที่หลายๆ ท่านอาจกำลังประสบอยู่ ซึ่งมีความสำคัญเพราะหากปล่อยไว้อาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้หลายอย่าง เช่น สิวที่อุดตันอาจกลายเป็นสิวอักเสบ (Inflammatory acne) ซึ่งหากเป็นรุนแรงมากๆ (เช่น สิวหัวช้าง เป็นต้น) ก็อาจทิ้งรอยดำ รอยแดงจากสิว (Acne marks) หรือกลายเป็นหลุมสิว (Atrophic acne scar) ได้
วันนี้หมอจะมาไขข้องใจว่า สิวอุดตัน คืออะไร? เกิดจากอะไร? ประเภทของสิวชนิดนี้มีอะไรบ้าง ทั้งสิวหัวขาว สิวหัวดำ รวมทั้งสิวไม่มีหัว วิธีรักษามีอะไรบ้าง? ใช้ยาละลายสิวอะไรดี?
ก่อนอื่นหมอขออนุญาตแนะนำตัวก่อนนะครับ หมอชื่อหมอเอ็ม นายแพทย์มนตรี อุดมประเสริฐกุล เป็นแพทย์ประจำเอ็มวีต้าคลินิกนะครับ
สิวอุดตัน คืออะไร
สิวอุดตัน (Comedone) คือสิวชนิดที่ไม่อักเสบ (Non inflammatory acne) เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน (Ductal hypercornification) ซึ่งสิวชนิดนี้เป็นสิวระยะแรกของวงจรการเกิดสิว ที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการอุดตันของรูขุมขน แล้วทำให้น้ำมันหรือ sebum ที่ขับออกมาโดยต่อมน้ำมันใต้ผิว เกิดการคั่งค้างอยู่ในรูขุมขน และเมื่อรวมกับเซลล์ผิวหนังที่อยู่ในรูขุมขนก็เกิดเป็นคอมีโดน (comedone) หรือหัวสิวขึ้นมานั่นเอง
สิวอุดตันมีลักษณะอย่างไร
สิวอุดตัน มีลักษณะเป็นหัวเม็ดนูนเป็นตุ่มกลมเล็กๆ อยู่ตามรูขุมขน หากใช้มือคลำดูจะรู้สึกเป็นก้อนแข็งๆ เล็กๆ อยู่ใต้ผิว เมื่อเกิดขึ้นมา ลักษณะของสิวจะมีลักษณะเป็นเม็ดกลม ในระยะแรก และจะมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก แต่เมื่อเวลาผ่านไป การอุดตันจะค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น จึงมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกวิธี
สิวอุดตันเกิดจากสาเหตุอะไร
ปูพื้นฐาน โครงสร้างรูขุมขน
รูขุมขนเป็นโครงสร้างที่อยู่ในผิวหนังของเราทั่วร่างกาย ยกเว้นเพียงไม่กี่บริเวณเช่น ฝ่ามือฝ่าเท้า เป็นต้น แม้จะเรียกชื่อว่ารูขุมขน บางท่านอาจจะเข้าใจว่ามันเป็นที่อยู่ของขนอย่างเดียว แต่จริงๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ที่เรียกว่าเป็นโครงสร้างเพราะรูขุมขนประกอบด้วยส่วนประกอบอื่นๆ อีก
เดี๋ยวเรามาดูกันว่ารูขุมขนประกอบด้วยส่วนประกอบอะไรบ้างนะครับ
1. ขน (Hair)
แน่นอนครับ ขึ้นชื่อว่าเป็นรูขุมขนแล้วก็ต้องมีขนอยู่ ซึ่งรูขุมขนแต่ละรูขุมขนอาจจะมีขนเส้นขนาดไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับตำแหน่ง เช่น บริเวณศีรษะก็จะเป็นขนเส้นหนาก็คือผมนั่นเอง ส่วนบริเวณอื่นๆของร่างกายก็อาจจะเป็นขนที่เส้นอ่อนลงมา ยกเว้นคุณผู้ชายอาจจะมีขนหน้าอก เครา หนวด เป็นต้นครับ
2. รากขน (Hair root)
ประกอบด้วยต่อมรากขน (Hair follicle) ซึ่งเป็นส่วนรากของขนที่โป่งพองออกเพื่อห่อหุ้มกระเปาะขน (Hair bulb) ซึ่งเป็นส่วนล่างสุดของรากผม มีลักษณะเป็นกระเปาะเว้าเข้าด้านในรูปทรงคล้ายคีม เพื่อโอบล้อม ปุ่มขน (Hair papillae) ที่มีเส้นเลือดฝอยอยู่ภายในเพื่อลำเลียงออกซิเจน และสารอาหารต่างๆ มาหล่อเลี้ยงเส้นขน
รากขน ถือเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ผลิตเส้นขนออกมาโดยจะอยู่บริเวณส่วนล่างสุดของโครงสร้างรูขุมขนทั้งหมด ซึ่งตรงกับชั้นหนังแท้ของผิวหนัง
เซลล์ที่อยู่บริเวณรากขนนั้นยังเป็นเซลล์ที่มีชีวิตอยู่ ในขณะที่เส้นขนด้านบนขึ้นไปจะเป็นเซลล์ที่ไม่มีชีวิตและมีส่วนประกอบหลักเป็นเคราติน
3. ต่อมน้ำมัน (Sebaceous glands)
เป็นต่อมที่ทำหน้าที่ขับน้ำมัน (Sebum) ออกมาเพื่อเคลือบผิว และเส้นขนให้ชุ่มชื้น ต่อมน้ำมันนี้โดยทั่วไปจะมีทางเปิดเข้าสู่รูขุมขน เพื่อขับน้ำมันเข้าสู่รูขุมขนและน้ำมันก็จะออกจากรูขุมขนมาเคลือบผิวและเส้นขนต่อไป
ต่อมน้ำมันจะเชื่อมต่อเป็นโครงสร้างหนึ่งของ รูขุมขน จึงพบได้ทั่วไปบริเวณที่มีขนทั้งหมดเช่นหนังศีรษะ ใบหน้า ตามลำตัว ยกเว้นฝ่ามือฝ่าเท้าซึ่งไม่มีรูขุมขน จึงไม่พบต่อมน้ำมันด้วยเช่นกัน
แต่มีบางบริเวณ ที่แม้ไม่มีเส้นขน แต่ก็พบต่อมน้ำมัน ได้แก่ ริมฝีปาก ในช่องปาก เป็นต้น และบางบริเวณต่อมน้ำมันจะมีช่องเปิดสู่ผิวโดยตรงเลย เช่น บริเวณเปลือกตาเป็นต้น
4. กล้ามเนื้อเรียบดึงขน Arrector Pili muscle
เป็นกล้ามเนื้อเรียบเล็กๆที่ทำให้เกิดอาการขนลุก ในเวลาที่เราสัมผัสกับอากาศหนาวๆ หรือตื่นเต้นตกใจ เป็นต้นครับ
นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยบีบตัวเพื่อให้เกิดการขับน้ำมันจากต่อมน้ำมันออกมาทางรูขุมขนด้วยครับ
สิวอุดตัน เกิดจากอะไร
สิวอุดตัน เกิดจาก ความผิดปกติของรูขุมขน ที่เกิดจากปัจจัยร่วมกันของ
1. ต่อมน้ำมัน (Sebaceous gland)
ปัจจัยแรกคือการที่ต่อมน้ำมันเกิดการที่ต่อมขับน้ำมัน (Sebum) ออกมามากเกินไป
ซึ่งปกติแล้ว สิ่งที่ควบคุมการทำงานของต่อมน้ำมัน ไม่ใช่ระบบประสาท แต่เป็นการควบคุมโดยฮอร์โมน ซึ่งตัวที่สำคัญที่สุดก็คือฮอร์โมนแอนโดรเจนหรือฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งเจ้าฮอร์โมนกลุ่มนี้ก็มีในทั้งผู้ชายและผู้หญิงนะครับ
นี่เลยเป็นสาเหตุที่ทำไมเด็กๆ ถึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องสิว แต่พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเป็นต้นไป ถึงมีสิวเห่อขึ้นมาก ก็เป็นเพราะฮอร์โมนนี่แหละครับ
2. รูขุมขน
ปัจจัยที่สองคือการที่ภายในรูขุมขนมีการอุดตันเกิดขึ้น อาจเกิดจากการแบ่งตัวของเซลล์ผิวที่อยู่ในท่อรูขุมขนมากเกินไป หรืออาจเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนจากสาเหตุอื่นก็เป็นได้ เมื่อมีการอุดตันเกิดขึ้น น้ำมัน sebum จึงอุดตันกลายเป็นหัวสิว (comedone) อยู่ภายใน ซึ่งปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดก็เป็นฮอร์โมนเพศชายเช่นเดียวกัน
แต่นอกจากนี้ก็ยังมีปัจจัยอื่น เช่น ส่วนประกอบน้ำมันบางชนิดในเครื่องสำอาง สารเคมีบางอย่าง ที่เมื่อทาลงบนผิวแล้วอาจจะเข้าไปอุดตันรูขุมขนได้ นี่เลยเป็นสาเหตุที่ครีมบางตัวเราใช้แล้วอุดตันนั่นเองครับ
ปัจจัยกระตุ้นสิวอุดตัน
สำหรับปัจจัยกระตุ้นของสิวอุดตันก็เป็นที่ทราบกันดีว่าเกิดจากหลายๆปัจจัยร่วมกัน ทั้งเรื่องของพันธุกรรม ฮอร์โมน สภาพแวดล้อม อาหารการกิน และเครื่องสำอางสกินแคร์ต่างๆครับ
1. พันธุกรรม
พันธุกรรมมีส่วนอย่างมากที่จะกำหนดว่า ท่านใดจะมีโอกาสเกิดสิวอุดตันได้ง่าย เราอาจจะสังเกตว่าทำไมบางท่าน เป็นสิวน้อยมากตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นจนมาวัยทำงานใบหน้าก็ดูแทบจะไม่มีสิวเลย
ในขณะที่บางท่านเป็นสิวตั้งแต่วัยรุ่นและเป็นหนักต่อเนื่องมาจนถึงวัยทำงาน บางท่านอายุ 40 ถึง 50 แล้วก็ยังมีปัญหาสิวอยู่เลย ตรงนี้เกิดจากปัจจัยในเรื่องของกรรมพันธุ์นั่นเองครับ
วิธีการสังเกตปัจจัยในด้านกรรมพันธ์ุ ให้ท่านสังเกตจากคุณพ่อคุณแม่ หรือญาติทั้งฝ่ายพ่อและฝ่ายแม่ก็ได้ครับ ถ้าหากว่าในครอบครัวของท่าน มีท่านใดที่มีปัญหาสิวค่อนข้างเยอะ ตัวท่านเองก็มีแนวโน้มที่จะเกิดสิวได้ง่ายเช่นกัน
และยิ่งท่านที่ในครอบครัวมีหลายบุคคลที่มีประวัติเป็นสิวหนักๆ อันนี้ยิ่งสนับสนุนว่าตัวท่านเองน่าจะมีปัญหาสิวจากกรรมพันธุ์ค่อนข้างเยอะด้วยครับ
2. ฮอร์โมน
นอกจากปัจจัยทางด้านกรรมพันธุ์แล้ว การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนก็มีผลทำให้เกิดสิวอุดตันได้ง่ายเช่นเดียวกัน กรณีนี้อาจเรียกว่า สิวฮอร์โมนก็ได้ครับ
โดยปกติแล้วทุกๆ ท่านเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นจะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างมาก ร่างกายจะมีการผลิตฮอร์โมนเพศออกมามากขึ้น
ซึ่งฮอร์โมนเพศนี่เองครับ ที่เป็นสาเหตุหลักทำให้เกิดสิวประเภทนี้ได้ง่ายขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกลุ่มฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งได้แก่ testosterone, dihydrotestosterone
ดังนั้น ในช่วงที่เราเข้าสู่วัยรุ่นก็เป็นธรรมดาที่จะเกิดสิวที่อุดตันได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งโดยปกติ เมื่อผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปแล้ว เช่นอายุประมาณ 18-20 ปี ฮอร์โมนเพศจะมีความสมดุลมากขึ้น และอาการสิวจะค่อยๆ ทุเลาลง
ในคุณผู้หญิงบางท่าน ถึงแม้จะผ่านพ้นช่วงวัยรุ่นไปแล้ว พอเข้าสู่วัยทำงานก็อาจจะมีความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกันโดยธรรมชาติของผู้หญิง ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในแต่ละช่วงรอบเดือนอยู่แล้ว ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงตรงนี้จึงมีโอกาสทำให้เกิดสิวได้เช่นกันครับ
และยังมีคนไข้อีกกลุ่มหนึ่ง ที่มีความผิดปกติ ของระบบต่อมไร้ท่อทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงของระบบฮอร์โมนในร่างกาย จนทำให้เกิดเป็นสิวขึ้นมาได้เหมือนกันครับ ซึ่งในส่วนของคนไข้กลุ่มนี้หมออาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดในบทความนี้นะครับ
3. อาหารการกิน
งานวิจัยในปัจจุบันพบว่าอาหารที่มีส่วนทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้นได้แก่ “อาหารประเภทนมและน้ำตาล” เนื่องจากอาหารในกลุ่มนี้ อาจทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตันนั่นเอง
อาหารประเภทนมและน้ำตาลกลุ่มนี้มีอะไรบ้าง?
- นมวัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นมไขมันต่ำ Low fat milk นมพร่องมันเนย Skim milk
- อาหารที่มีน้ำตาลสูง หรือมี Glycemic index สูง เช่น ขนมปังขาว ข้าวขาว ของหวาน
- ช็อกโกแลต เบเกอรี่ ชานมไข่มุก เป็นต้น
4. เครื่องสำอางและสกินแคร์
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลายชนิดที่มีส่วนผสมของน้ำมันมากก็สามารถทำให้เกิดการอุดตันที่ผิวได้ง่ายขึ้นครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันหลายชนิดเลยมีคุณสมบัติที่เรียกว่า Comedogenicity หรือความสามารถที่จะก่อให้เกิดสิวเมื่อใช้กับผิวนั่นเอง
ปัจจุบันได้มีการวิจัยและศึกษาค่า Comedogenicity ของน้ำมันที่เป็นส่วนผสมของสกินแคร์แทบจะทุกชนิดแล้ว ซึ่งเราสามารถนำมาใช้ประกอบการดูส่วนผสมแล้วเลือกสกินแคร์ที่จะอุดตันผิวน้อยที่สุด จะได้ลดการเกิดสิวอุดตันได้
อย่างไรก็ตาม ต่อให้สกินแคร์ที่ใช้จะมีส่วนผสมของน้ำมันที่อุดตันน้อย แต่หากเราไม่ทำความสะอาดผิวให้เหมาะสม น้ำมันก็มีโอกาสที่จะคั่งค้างอยู่บนผิวและทำให้เกิดการอุดตันได้อยู่ดี ดังนั้นสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คงหนีไม่พ้นการทำความสะอาดผิวให้เหมาะสมที่สุด นั่นคือหากท่านมีการแต่งหน้า ก็ควรเช็ดเครื่องสำอางให้หมดจดและก็ล้างด้วยโฟม จนมั่นใจว่าไม่มีความมันตกค้าง ก็จะลดการเกิดสิวได้อีกทางหนึ่งด้วยครับ
ชนิดของสิวอุดตันใต้ผิวหนัง
สิวอุดตันมีกี่ชนิด แต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
สำหรับบทความในส่วนนี้หมอจะมาอธิบายประเภทของสิวอุดตัน ว่ามีกี่ชนิด แต่ละชนิดแตกต่างกันอย่างไรบ้างนะครับ
1. สิวหัวขาว (Whiteheads)
สิวหัวขาวหรือ สิวอุดตันชนิดหัวปิด(Closed comedone) มีลักษณะเป็นตุ่มกลมเล็กแข็งสีเดียวกับผิวหนัง ซึ่งเมื่อใช้มือดึงผิวหนังให้ตึง หรือใช้มือคลำ จะเห็นได้ชัดเจนขึ้น
2. สิวหัวดำ (Blackheads)
สิวหัวดำ หรือ สิวอุดตันชนิดหัวเปิด (Open comedone) ลักษณะเป็นตุ่มกลมเล็กแข็ง คล้ายๆ สิวหัวขาวแต่จุดแตกต่างคือตรงบริเวณยอดจะมีรูเปิดและมีก้อนสีดำอุดอยู่ ก้อนสีดำที่อยู่ตรงบริเวณยอดของสิวหัวดำนั้น คือหัวสิวที่โผล่พ้นรูขุมขนออกมา เนื่องจากหัวสิวนี้เป็นไขมันจึงทำปฏิกิริยา Oxidation กับอากาศ รวมทั้งมีการสะสมของเมลานิน จึงเห็นเป็นสีดำนั่นเอง
3. สิวอุดตันไม่มีหัว (Microcomedone)
สิวอุดตันอีกชนิดหนึ่งคือสิวแบบไม่มีหัว ลักษณะจะเป็นคล้ายๆ สิวผดเล็กๆ เป็นตุ่มกลมๆ ขนาดเล็กมาก สิวชนิดนี้จริงๆแล้วก็คือสิวหัวขาวระยะแรกเริ่มนั่นเอง เมื่อมีการอุดตันเกิดขึ้นจะเริ่มเกิดคอมิโดนใต้ผิว แต่ในระยะแรกยังมีขนาดเล็กมาก จึงอาจจะยังคลำไม่ได้ จะเห็นแค่เป็นลักษณะตุ่มนูนเล็กนิดเดียว ซึ่งสิวแบบนี้ส่วนใหญ่จะกดหรือบีบออกไม่ได้ เพราะขนาดเล็กเกินไป
สิวอุดตันขึ้นบริเวณไหนได้บ้าง
โดยปกติแล้วสิวอุดตันสามารถขึ้นได้บนผิวหนังทุกบริเวณของร่างกาย แต่จุดที่พบได้บ่อย ได้แก่ ที่ใบหน้า ใต้คาง แผ่นหลัง และหน้าอก เนื่องจากจุดเหล่านี้จะค่อนข้างมีการขับน้ำมันจากต่อมน้ำมันใต้ผิวเยอะกว่าบริเวณอื่น
ตำแหน่งที่ขึ้นในบางครั้งสามารถบ่งบอกถึงสาเหตุได้เช่นกัน
สิวอุดตันที่แก้ม
สำหรับสิวอุดตันที่แก้มโดยปกติมักมีความเกี่ยวข้องกับเครื่องสำอาง และการแต่งหน้า โดยเฉพาะกรณีสิวที่แก้ม หรือขึ้นที่บริเวณสองข้างแก้มพอๆ กัน
เนื่องจากบริเวณแก้ม มักเป็นบริเวณที่หลายๆ ท่านเวลาที่แต่งหน้า จะลงเครื่องสำอางหลายชั้นเช่นลงไพรเมอร์ รองพื้นลงแป้งฝุ่น บลัชออน คอนซีลเลอร์ ฯลฯ โดยรวมแล้วค่อนข้างหลายขั้นตอน ดังนั้นจึงมีโอกาสที่จะเกิดการอุดตันจากเครื่องสำอางได้ง่ายมาก
อีกสาเหตุหนึ่งที่พบได้บ่อยมากๆ เช่นกันก็คือการใส่หน้ากากอนามัย เนื่องจากการใส่แมสก์ตลอดเวลาทั้งวัน ทำให้ผิวหนังใต้แมสก์มีอุณหภูมิสูงขึ้น และมีความอับชื้นซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจกระตุ้นให้แบคทีเรียที่ผิวหนังเจริญเติบโตได้ดีขึ้น ส่งเสริมให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้นด้วย
สิวอุดตันที่คาง
สำหรับสิวที่คางพบได้บ่อยในคนไข้ผู้หญิง มักจะสัมพันธ์กับฮอร์โมน โดยอยู่ในช่วงอายุประมาณ 20 ถึง 40 ปี และในช่วงก่อนรอบเดือนจะกลายเป็นอักเสบขึ้นมา
ในบางเคสสิวขึ้นคางอาจจะมาในรูปของสิวเสี้ยน เป็นหนามๆ เห็นได้ชัดเวลาที่เราเม้มปากให้คางตึงก็ได้เช่นกัน
สิวอุดตันที่หน้าผาก
บริเวณหน้าผากถือเป็นจุดที่สิวอุดตันขึ้นมากที่สุด ในบางครั้งรูขุมขนก็อุดตันไปด้วยคราบไขมันส่วนเกิน หรือบางท่านสัมพันธ์กับฮอร์โมน มักพบในคนไข้กลุ่มวัยรุ่น 10 – 20 ปี พอเริ่มโตขึ้นจะค่อยๆ ลดไปเอง
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนไข้อีกกลุ่มหนึ่งที่มีสิวขึ้นหน้าผากจากปัจจัยภายนอกโดยส่วนใหญ่ที่พบก็จะเกิดจากผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับเส้นผมเช่น แชมพู ครีมนวดผม แวกซ์หรือสเปรย์ใส่ผม หรือบางท่านอาจทำสีผมดัดผมมา สารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจทำให้ผิวเกิดการอุดตันกลายเป็นสิวขึ้นมาได้เช่นกัน
สิวอุดตันที่จมูก
สำหรับสิวที่จมูก มักเกิดจากฮอร์โมนและจะพบในคนไข้ที่มีช่วงอายุประมาณ 15 ถึง 35 ปี โดยส่วนใหญ่มักจะมาในรูปของสิวเสี้ยน ยกเว้นบางท่านที่มีอิทธิพลจากฮอร์โมนค่อนข้างสูงก็อาจจะเป็นหัวสิวอุดตันชัดเจนได้เช่นกัน
สิวที่จมูกนี้โดยส่วนใหญ่มักจะพบที่บริเวณปีกจมูกทั้งสองข้างและอาจจะลามไปตรงบริเวณข้างๆ จมูก นอกจากนี้อาจมีพบตรงบริเวณช่วงสันจมูกด้านบนใกล้ๆ กับหัวคิ้วได้ครับ
สิวอุดตันที่หลัง หรือ สิวอุดตันที่หน้าอก
สิวที่หลังก็มีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนมากเช่นกัน มักจะพบในคนไข้ช่วงอายุประมาณ 15 ถึง 35 ปีและมักมีความเกี่ยวข้องกับการเล่นกีฬา การออกกำลังกายที่ทำให้มีเหงื่ออับชื้นใต้ร่มผ้า รวมถึงการเสียดสีขณะออกกำลังกาย
สิวอุดตันแบบไหน..ควรพบแพทย์
กรณีที่มีสิวไม่มากนัก คนไข้อาจจะสามารถดูแลด้วยตัวเองได้ หากสิวไม่ลึกมากก็สามารถบีบออกเองได้ด้วยมือหรืออุปกรณ์ที่ต้องสะอาด ผ่านการกำจัดเชื้อครับ
แต่สำหรับสิวลักษณะดังต่อไปนี้หมอแนะนำว่าหากเป็นให้คนไข้รีบเข้าพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องโดยเร็วจะดีที่สุดครับ
- คนไข้ที่มีสิวจำนวนมากทั่วใบหน้าหรืออาจจะเป็นอุดตันเฉพาะจุดแต่มีจำนวนมากควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อรับการรักษากดออกอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการอักเสบหรือรอยแผลเป็นจากสิวตามมาครับ
- คนไข้ที่มีสิวแน่นทุกรูขุมขนติดกันเป็นกลุ่มๆ เคสแบบนี้การกดสิวจะยากมากครับ เพราะหัวสิวติดกัน ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการกดจะดีกว่ากดเองเพราะต้องใช้เทคนิคพิเศษในการกดครับ
- คนไข้อีกกลุ่มที่ควรพบแพทย์ก็คือท่านที่มีสิวที่อุดตันแบบลึก ชนิดที่ต้องดึงผิวให้ตึงถึงจะเห็นเป็นเม็ดๆ คนไข้กลุ่มนี้ไม่แนะนำให้กดสิวด้วยตัวเองครับเพราะว่าตำแหน่งหัวสิวอยู่ลึกมาก เป็นการยากมากที่จะกดออกด้วยตัวเอง ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษครับ
การวินิจฉัยอาการสิวอุดตัน
สำหรับการวินิจฉัยสิวที่คนไข้มีว่าเป็นสิวอุดตันนั้น แพทย์สามารถทำได้ด้วยการตรวจผิวโดยตรง หากเห็น รอยโรคที่มีตรงกับลักษณะของสิวแล้วก็สามารถวินิจฉัยได้ทันที โดยไม่ต้องส่งตรวจห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม
แต่สิ่งที่สำคัญที่แพทย์จะต้องตรวจเพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติมนั้นคือ รูปแบบ (Pattern) ความรุนแรง (Severity) และการกระจายตัว (Distribution) ของสิวของคนไข้แต่ละท่านเพื่อประเมินถึงสาเหตุ และแนวทางการรักษานั่นเอง
สิวที่อุดตันบางรูปแบบ อาจบ่งบอกถึงปัญหาทางสุขภาพด้านอื่นๆ ในกรณีนี้แพทย์อาจจะส่งตรวจห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม หรืออาจส่งตรวจอัลตร้าซาวนด์ เช่น ในคุณผู้หญิงที่แพทย์สงสัยภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovarian Syndrome) ซึ่งจะมีฮอร์โมนเพศชายมากกว่าปกติ เป็นต้นครับ
สิวอุดตัน รักษาอย่างไรให้เหมาะสม
ท่านที่มีปัญหาสิวชนิดนี้อยู่ คงกำลังอยากทราบว่ารักษาอย่างไรดี ในส่วนนี้หมอจะมาเจาะลึกถึงวิธีรักษาสิวอุดตันวิธีต่างๆที่ได้ผล รวมถึงข้อดีข้อเสียนะครับ
1. กินยารักษาสิวอุดตัน
สำหรับการกินยารักษาสิวนั้น อาจไม่ได้ผลกับสิวอุดตันที่มีอยู่แล้ว แต่สามารถช่วยในการลดการเกิดสิวใหม่ได้
ซึ่งสำหรับคนไข้ที่ยังมีสิวขึ้นใหม่เรื่อยๆ ไม่หยุด การทานยาก็มีความสำคัญมากเพราะเมื่อทานยาแล้วสิวใหม่ไม่ขึ้น หรือขึ้นน้อยลงแล้ว ในขณะเดียวกันเราก็ทำการเคลียร์สิวเก่าที่มีจนหมด แบบนี้ไม่นานผิวโดยรวมก็จะเกลี้ยง สิวก็จะหายไป
สำหรับตัวยาที่ช่วยลดการเกิดสิวใหม่ที่ได้ผลดีและมีงานวิจัยรับรองมากที่สุดก็คือตัวยาในกลุ่มอนุพันธ์ของกรดวิตามินเอ Isotretinoin (13-cis-retinoic acid) ซึ่งจะออกฤทธิ์โดยตรงที่ต่อมน้ำมันใต้ผิวทำให้ต่อมน้ำมันมีขนาดเล็กลง สร้างและขับน้ำมันออกมาน้อยลง
นอกจากนี้ตัวยายังออกฤทธิ์ลดการอุดตันของรูขุมขนโดยตรงอีกด้วย และยังมีผลทางอ้อมช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย C.acnes ที่มีส่วนก่อให้เกิดสิว และลดการอักเสบ ดังนั้นสิวใหม่ๆ จึงลดลงอย่างชัดเจน
ตัวยาตัวนี้มีประโยชน์มาก อย่างไรก็ตาม ยาตัวนี้ก็มีผลข้างเคียงหลายอย่าง ดังนั้นการใช้จึงควรใช้ในคนไข้ที่มีสิวรุนแรงค่อนข้างมาก และควรใช้ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์ ที่สำคัญยาตัวนี้ห้ามใช้ในผู้ที่กำลังตั้งครรภ์เนื่องจากว่าจะมีผลต่อทารกในครรภ์ได้
2. ทายารักษาสิวอุดตัน
สำหรับการรักษาสิวอุดตันด้วยยานั้น สามารถใช้ร่วมกับการกดสิวได้ โดยคุณสมบัติของยาทาคือการผลัดเซลล์ผิวเก่าบนผิวชั้นนอก ทำให้เซลล์ผิวหนังชั้นบนหลุดลอกออก ลดการอุดตันได้ดี
ยาทารักษามีอะไรบ้าง ใช้ตัวยาไหนดี ในที่นี้หมอจะแนะนำตัวยาชนิดทาที่มีงานวิจัยรับรองว่าสามารถลดได้นะครับ
1. ยาทากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ Topical Retinoids
ยาทากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอ เป็นยาทาหลักในการรักษาสิวที่อุดตัน ออกฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเกิดสิวในระยะแรกเริ่ม รักษาได้ทั้งแบบหัวปิดและหัวเปิดที่มีความรุนแรงระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
โดยการออกฤทธิ์ของยากลุ่มนี้ จะช่วยยับยั้งการอุดตันของรูขุมขน แล้วทำให้สิวที่มีอยู่หลวมตัวขึ้นและหลุดออก ดังนั้นจึงทำให้สิวเก่าหลุดไปและทำให้สิวใหม่ขึ้นน้อยลง ช่วยลดการเกิดสิวใหม่ นอกจากนี้ตัวยายังช่วยลดการอักเสบของสิว และช่วยควบคุมความมันบนใบหน้าอีกด้วยครับ
สำหรับยาทาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ Topical Retinoids นี้ปัจจุบันมีหลายตัว และมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ดังนี้
- TRETINOIN (Retin-A3, Retacnyl) : มีคุณสมบัติละลายสิวได้ดีมาก แต่ระคายเคืองได้ง่าย
- ADAPALENE (Differin) : เหมาะกับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย ระคายเคืองผิวน้อยกว่า มีคุณสมบัติละลายสิวได้ดีมาก ออกฤทธิ์ไว ตัวยาไม่ไวต่อแสง แต่ทำให้ผิวไวต่อแสง จึงควรทากันแดดและหลีกเลี่ยงแสงแดดจะดีที่สุดครับ
ดังนั้น จะเห็นได้ว่ายาในกลุ่มนี้เป็นยาที่ช่วยเรื่องสิวได้ดีมาก แต่หากคุณมีประวัติผิวแพ้ง่าย ยาบางตัว งดใช้ กับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร สิ่งสำคัญคือต้องปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มการรักษา ภายใต้การดูแลของแพทย์จะได้รับผลการรักษาที่ดีและปลอดภัยกว่าครับ
2. ยาทากลุ่มเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ Benzoyl Peroxide
เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ ออกฤทธิ์ทำงานโดยลดปริมาณแบคทีเรียบนผิวหนังและช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน มีความเข้มข้น 2.5% หรือ 5% แต่อ่อนกว่ายาทากลุ่มอนุพันธ์ของวิตามินเอครับ สามารถระคายเคืองได้ในกรณียามีความเข้มข้นมาก ไม่เหมาะกับผิวที่บางและแพ้ง่าย เริ่มแรกควรใช้ในความเข้มข้นต่ำก่อน ทาทิ้งไว้ 2-5 นาที แล้วล้างออก ผลลัพธ์ถือว่าดีและเร็วโดยจะเริ่มเห็นว่าสิวค่อยๆ ดีขึ้นตั้งแต่ในในช่วง 1 สัปดาห์หลังเริ่มใช้ยาเป็นต้นไป ทั้งนี้ควรอยู่ในการดูแลและคำแนะนำของแพทย์นะครับ
3. ยาทากรดอะเซเลอิค Azelaic acid
ยาทากรดอะเซเลอิค Azelaic acid เป็นกรดสกัดจากธรรมชาติที่นำมาใช้เป็นยารักษาสิวที่มีความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง ยาทาตัวนี้ช่วยในเรื่องของการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C.acnes และมีฤทธิ์ละลายสิวอุดตันได้ด้วยครับ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการรักษารอยดำจากสิว ได้อีกด้วย ตัวยาจะอยู่ในรูปครีม ความเข้มข้น 20%
วิธีใช้ : ให้ทาบางๆวันละ 2 ครั้ง
ผลข้างเคียง / ข้อควรระวัง : ยาทากรดอะเซเลอิค อาจทำให้มีอาการคันระคายเคืองได้ในบางท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงประมาณ 1-2 สัปดาห์แรกหลังเริ่มทา ควรทาบางๆ ไม่โปะหนาครับ
4. ยาทากลุ่มกรดซาลิไซลิก Salicylic acid
ยากลุ่มนี้จัดเป็น BHA ( beta hydroxy acid ) พบได้ในครีมหรือเครื่องสำอางที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์มากมาย ความเข้มข้นที่ใช้อยู่ที่ 0.5 หรือ 2 เปอร์เซ็นต์
คุณสมบัติการรักษา : การทำงานของกรดซาลิไซลิกนี้ จะผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก จะยับยั้งการสร้าง comedone ที่เป็นสาเหตุของการเกิดสิว และยังช่วยลดการอักเสบได้ด้วยครับ
วิธีใช้ : วันละ 1-2 ครั้ง งดใช้ในที่ท่านที่มีผิวแห้งลอกและแพ้ง่าย อาจทำให้ระคายเคืองได้ เนื่องจากยามีความเป็นกรดครับ
5. ยาทาที่มีส่วนผสมของกำมะถัน Sulfur
ยาทาที่มีส่วนประกอบของกำมะถัน หรือ Sulfur มีคุณสมบัติในการละลายสิว จึงสามารถใช้ช่วยรักษาปัญหาสิวที่อุดตัน ซัลเฟอร์ช่วยลดน้ำมันส่วนเกินบนผิว ทำให้สิวแห้งและหลุดออกมา
3. กดสิว
หลายท่านคงลังเลว่าควรกดสิวดีไหม? ปกติการรักษาสิวด้วยวิธีกดสิว จะเป็นการใช้เข็มที่ปราศจากเชื้อ สะกิดเปิดหัวสิว และใช้อุปกรณ์พิเศษที่ออกแบบมาเพื่อการกดสิวโดยเฉพาะ เช่น ไม้กดสิว ทำการกดหัวสิวที่อุดตันอยู่ออกมา
สิวอุดตันนั้นจะมีหัวสิวอยู่ภายใน หัวสิวนี้เป็นน้ำมัน Sebum ที่ขับจากต่อมน้ำมัน Sebaceous gland สะสมรวมกับเซลล์ผิวที่หลุดลอดอยู่ในรูขุมขน ร่วมกับแบคทีเรียครับ ซึ่งหากปล่อยไว้สิวชนิดนี้อาจพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบได้
การกดสิวหัวดำหรือหัวขาว จะเอาหัวสิวเหล่านี้ออกไป ดังนั้นหลังทำ สิวเม็ดนั้นก็จะหายไปหรือสิวยุบลงทันที
การกดสิวเป็นการรักษาสิวอุดตันที่ทำให้สิวเดิมลดลงได้เร็ว และหากทำร่วมกับการรักษาสิวด้วยวิธีอื่นๆ เช่นการใช้ยาทา ยากิน รวมถึงเลเซอร์รอยสิวเพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่แล้ว จะทำให้สิวดีขึ้นอย่างรวดเร็วมากๆ ครับ
นอกจากนี้การทายายังช่วยให้หัวสิวหลวมและตื้นขึ้นกดง่ายขึ้นด้วย สำหรับท่านที่มีสิวอุดตันลึก หมอแนะนำให้ทายารักษาสิว ตามที่หมอแนะนำไว้ในหัวข้อด้านบนอย่างน้อยสัก 1-3 สัปดาห์ จะทำให้การกดสิวทำได้ง่ายขึ้นครับ
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการกดสิวควรทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านการกดสิว และควรใช้อุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อมาอย่างดี หมอไม่แนะนำให้ทำด้วยตัวเองที่บ้านครับ เนื่องจากการกดสิวจะต้องใช้เข็มปลายแหลมสะกิดเปิดรูขุมขนด้านบนก่อนการกดสิว ซึ่งหากทำไม่ถูกวิธีอาจเสี่ยงทำให้สิวติดเชื้อ และอาจทำให้เกิดแผลเป็นนั่นเองครับ
ข้อปฏิบัติหลังกดสิว ควรใช้อะไรดี
- หลังกดสิว ผิวอาจจะมีรอยแดง บวมเล็กน้อย ซึ่งจะค่อยๆหายไปเองในเวลาประมาณ 1-3 วัน ระหว่างนั้นหากรู้สึกบวมมากอาจใช้น้ำแข็งประคบตรงที่กดสิวได้ครับ
- งดการผลัดเซลล์ผิวด้วยกรดผลไม้ ขัดสครับผิว อย่างน้อย 3 วัน
- หลังกดสิวคนไข้สามารถใช้ยาทาสิวได้ปกติ จะทำให้สิวขึ้นใหม่น้อยลง และยังช่วยสมานแผลได้ด้วยครับ
- พยายามงดแต่งหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทำความสะอาดผิวหน้าให้หมดจดที่สุดในทุกครั้งที่ล้างหน้า เพื่อลดโอกาสการเกิดสิวอุดตันใหม่
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสผิวหน้าโดยไม่จำเป็น เพื่อเป็นการลดโอกาสที่ผิวโดยเฉพาะบริเวณที่กดสิวจะสัมผัสกับเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกครับ
4. เลเซอร์สิว
เลเซอร์สิวอุดตันเป็นนวัตกรรมที่ต่อยอดมาจากการกดสิว ซึ่งปกติจะใช้เข็มเป็นตัวสะกิดเปิดรูขุมขนเพื่อให้มีช่องทางในการกดสิวออกมาได้ แต่กรณีนี้แพทย์จะเปลี่ยนมาใช้เลเซอร์ในการเปิดรูขุมขนก่อนการกดสิวแทน
เลเซอร์ตัวหลักที่ใช้ในการเปิดทางเพื่อให้กดสิวออกได้ง่ายขึ้นที่คลินิกหลายแห่งให้บริการนั้น จะเป็นเลเซอร์ที่มีชื่อว่า คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ (carbon dioxide laser) หรือที่เรียกสั้นๆว่า CO² Laser นั่นเองครับ เลเซอร์ตัวนี้จะมีคุณสมบัติในการกรอผิว หรือที่เรียกว่า Ablative laser นั่นเอง
จากคุณสมบัติในการกรอผิวนี่เอง แพทย์จึงนำ Co2 Laser เปิดผิวตรงบริเวณที่เป็นสิวออกเพื่อเจาะเปิดทาง ก่อนที่จะนำไม้กดสิวกดหัวสิวออกคล้ายๆ กับการใช้เข็มนั่นเองครับ
ข้อดีของการทำเลเซอร์สิว
- เลเซอร์สิวจะช่วยให้การกดสิวอุดตันทำได้เร็วขึ้นและทำให้สามารถกดสิวที่อยู่ลึกๆ ออกได้ง่ายขึ้น
- คนไข้บางท่านอาจจะรู้สึกเจ็บน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการกดสิวแบบปกติที่ใช้เข็มเปิดทาง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะก่อนการทำเลเซอร์ส่วนใหญ่คนไข้จะได้รับการทายาชานำด้วยครับ
ข้อเสียของการทำเลเซอร์สิว
- มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าค่อนข้างมากหากเทียบกับการกดสิวธรรมดา หลายๆ ที่มักจะคิดเป็นจุด จุดละ 10 บาท 15 บาทหรือบางที่อาจจะแพงกว่านั้นซึ่งเมื่อคูณจำนวนของสิวแล้ว ก็ค่อนข้างเป็นจำนวนเงินที่สูงพอสมควร
- หลังทำคนไข้มีแนวโน้มที่จะเป็นรอยดำรอยแดงหรืออาจเกิดแผลเป็นง่ายกว่าการกดสิวแบบธรรมดา เนื่องจากการใช้เลเซอร์เปิดทาง อาจทำให้ผิวเกิดความร้อน จึงมีแนวโน้มที่จะมีแผลตามมาได้ง่ายกว่า
- หลังกดสิวคนไข้จะมีช่วงต้องพักฟื้นนานกว่าการกดสิวปกติ โดยทั่วไปประมาณ 7-10 วัน ส่วนการกดสิวปกติพักฟื้นประมาณ 1-3 วัน
ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นสิวอุดตัน
เป็นสิวอุดตัน ควรดูแลตัวเองอย่างไร:
- รักษาความสะอาดของผิว: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งด้วยคลีนเซอร์ที่อ่อนโยนและไม่ทำให้ผิวแห้ง หลีกเลี่ยงการสครับผิวเพราะอาจทำให้ระคายเคืองและทำให้สิวแย่ลงอาจกลายเป็นสิวอักเสบได้
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน
- หลีกเลี่ยงการแกะหรือแกะสิว: สิ่งนี้สามารถนำไปสู่การเกิดสิวอักเสบ รอยแดง รอยดำ และแผลเป็น
- ปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด: ใช้ครีมกันแดดที่ไม่เหนียวเหนอะหนะที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30
- จัดการกับความเครียด สาเหตุหนึ่งของการเป็นสิวนะครับ
- ไม่ส่องกระจกบ่อยนะครับ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวอุดตัน
- ทำความสะอาดผิวหน้าให้เกลี้ยงที่สุด กรณีแต่งหน้าควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยทำความสะอาดผิวอย่างล้ำลึก เพื่อลดการอุดตัน
- แต่งหน้าให้น้อยลง ลดโอกาสการอุดตันของสิว
- ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน : หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมรุนแรง เช่น แอลกอฮอล์และน้ำหอม เนื่องจากอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้ผิวแห้งได้
- รักษาความชุ่มชื้น : ใช้ผลิตภัณฑ์เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โดยไม่อุดตัน และดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ผิวของคุณชุ่มชื้นและขับสารพิษออก
- เลือกรับประทานอาหาร : ทานผลไม้สด ผัก งดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและอาหารแปรรูป เนื่องจากสามารถเพิ่มการอักเสบในร่างกายและทำให้เกิดสิวได้
- จัดการกับความเครียด : ความเครียดสามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้ครับ
- เก็บผม และกรณีใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม ควรให้ห่างจากใบหน้า เช่น น้ำมันและผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม สามารถอุดตันรูขุมขนและทำให้เกิดสิวได้
- นอนหลับให้เพียงพอ : การนอนหลับมีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวม รวมถึงสุขภาพผิวเพื่อช่วยป้องกันการเกิดสิว
รักษาสิวอุดตันที่ไหนดี
การเลือกคลินิกรักษาสิวที่ไหนดี มีความสำคัญมากๆ เลยครับ จะหาคลินิกที่มีความปลอดภัย เห็นผล และแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด และคลินิกที่ให้บริการรักษานั้นก็มีมากมาย ในการที่คนไข้จะตัดสินใจเลือกรับบริการรักษาสิวที่ไหนดีนั้น มาดูกันครับว่าควรเลือกจากอะไร
- การบริการ การบริการเป็นอันดับแรกๆ ของการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการบริการจากคุณหมอ หรือตัวพนักงาน แน่นอนต้องไม่ยัดเยียดคอร์สให้ เริ่มต้นจากการโทรเข้าไปสอบถามทางโทรศัพท์เป็นอันดับแรก การพูดคุย การบริการขั้นต้นผ่าน ขั้นตอนการดูถัดไปคือการบริการหน้าคลินิก และการบริการหลังการรักษา มีพนักงานโทรมาสอบถามหรือไม่
- ดูความน่าเชื่อถือ ต้องมีการเปิดเผยชื่อคุณหมอ เพื่อนำมาตรวจสอบใบอนุญาตของคุณหมอ และการเปิดคลินิกนั้นต้องมีเลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก โดยเช็คได้จาก https://checkmd.tmc.or.th/ ครับ *ปลอดภัยไว้ก่อน*
- คุณหมอควรเป็นแพทย์เฉพาะทางในการรักษา เลือกคุณหมอที่เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะเท่านั้น เพื่อให้การรักษาย่างตรงจุด และมีความรู้เรื่องการรักษาแบบจริงๆ และอีกหนึ่งอย่างที่ไม่ควรลืมดูคือ ใบเซอร์ หรือ Certificated การันตีต่างๆ ครับ
- รีวิวการรักษา ดูรีวิวรักษารอยสิวของทางคลินิก สามารถดูได้จาก Google รีวิวใน Google Map นอกจากนั้นเราจึงไปตามดูรีวิวจากที่อื่นๆ เช่น Youtube และ Facebook รวมถึงหน้า Website หรือทาง Pantip ครับผม
- อุปกรณ์ทันสมัย และสะอาดปลอดภัย ความเชี่ยวชาญของคุณหมอ รวมถึงเทคนิคการใช้เครื่องเลเซอร์ เทคนิคในการรักษาด้วยนะครับ
- สถานที่ ทำเล เวลา เปิด – ปิด ความสะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น มีที่จอดรถไหม MRT BTS เดินทางง่าย มีที่จอดรถหรือไม่ รวมถึงวันเวลา เปิด – ปิด ที่ตรงกับที่เราสะดวก
รักษาสิวอุดตันที่เอ็มวีต้าคลินิก
วิธีการรักษาสิวของคลินิกแต่ละที่ อาจจะมีความแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเทคนิค และประสบการณ์ของหมอแต่ละท่านด้วย ซึ่งไม่มีวิธีไหนที่ถือว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องมากที่สุด และคนไข้ก็สามารถศึกษา และเลือกรักษาด้วยวิธีที่พึงพอใจ โดยอาจจะดูที่ผลการรักษาและข้อมูลต่างๆ ประกอบกัน
สำหรับที่ เอ็มวีต้าคลินิก นั้น แม้ว่าที่นี่จะมีเครื่องเลเซอร์ CO2 อยู่ก็ตาม แต่หมอส่วนตัวแล้วจะไม่ได้ให้บริการเลเซอร์สิวอุดตันที่นี่นะครับ ทั้งนี้เนื่องจากประสบการณ์ส่วนตัว พบว่าการกดสิวแบบธรรมดาร่วมกับการใช้เข็มเปิดรูขุมขนให้ผลลัพธ์ที่ดีมากเพียงพออยู่แล้ว หากทำโดยความเชี่ยวชาญ
และนอกจากนี้ยังทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่นรอยดำรอยแดงหรือปัญหาเรื่องของแผลเป็นที่น้อยกว่าการใช้เลเซอร์มากๆเลยครับ และส่วนตัวมองว่าการทำเลเซอร์ จะเป็นการทำให้คนไข้มีค่าใช้จ่ายที่มากเกินความจำเป็น ดังนั้นการรักษาสิวอุดตันที่เอ็มวีต้าคลินิก จึงเป็น การกดสิวปกติร่วมกับการใช้เข็มเปิดรูขุมขนเป็นหลักครับ
รักษาสิวอุดตัน ราคา
รักษาสิวควบคู่กับการเลเซอร์ สำหรับผู้ที่ยังเป็นสิวต่างร่วมอยู่ด้วย ชื่อโปรแกรมว่า Medi-Aclear ครับ จะตอบโจทย์ และให้ผลลัพธ์ที่ดี อย่างชัดเจน ทั้งเรื่องสิว รอยดำ รอยแดง จากสิวครับ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวอุดตัน ( Q & A )
Q : สิวอุดตันหายเองได้ไหม
สิวอุดตันสามารถหายเองได้ในบางกรณีเท่านั้นครับ แต่หากทิ้งไว้ก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดสิวอักเสบที่รักษาได้ยากตามมา ดังนั้นทางที่ดีไม่ควรปล่อยให้หายเอง เมื่อเกิดสิว แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาอย่างถูกต้องและปลอดภัยดีกว่านะครับ
Q : สิวอุดตันบีบได้ไหม
ไม่แนะนำให้บีบแกะหรือกดสิวเองเด็ดขาด เพราะมีผลเสียตามมาอย่างแน่นอน เช่นรอยดำ รอยแดง รักษายากกว่าสิวที่เป็นอยู่ หากบีบ แกะ หรือเจาะสิวไม่ถูกวิธี หรือไม่สะอาดพอ อาจจะทำให้สิวลุกลามอักเสบ เป็นหนักขึ้นจนท้ายที่สุดกลายเป็นหลุมสิว หากเป็นสิวหัวเปิดหรือสิวหัวดำควรจะมาได้รับการกดออกโดยคุณหมอหรือเจ้าหน้าที่ที่ชำนาญการดีกว่าครับ
Q : รักษาสิวอุดตันด้วยตัวเองได้ไหม
รักษาสิวอุดตันด้วยตัวเอง สามารถทำได้ แต่แนะนำสำหรับผู้ที่มีสิวไม่มาก ด้วยการใช้ยาทา Retinoids จากข้อมูลด้านบน แต่ในกรณีเป็นสิวเห่อทั้งหน้าและเป็นสิวจำนวนมากจนเสียความมั่นใจ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาอย่างถูกต้องและปลอดภัยดีกว่านะครับ
สรุปเรื่องสิวอุดตัน
สิวอุดตัน ถ้ารักษาไม่ถูกวิธี หรือหากปล่อยไว้อาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้หลายอย่าง มันอาจจะกลายเป็นสิวอักเสบ ซึ่งหากเป็นรุนแรงมากๆ เช่น สิวหัวช้าง ก็อาจกลายเป็นรอยดำ รอยแดงจากสิว หรือกลายเป็นหลุมสิวได้ และรักษายากกว่าสิวอุดตันอีกนะครับ
อย่างไรก็ตามแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อวางแผนการรักษา เพื่อผลลัพธ์ที่ดี ควบคู่กับการรักษาที่ถูกต้อง ถึงแม้ตามท้องตลาดจะมีให้ซื้อ แต่อยากให้อยู่ในการดูแลของแพทย์มากกว่า บางท่านอาจมีการแพ้ยา แพทย์ก็จะหลีกเลี่ยงยา และจ่ายยาตามอาการ หรือประเภทของสิวรวมถึงรอยสิวนั้นๆ ครับ
คุณหมอเอ็มให้กำลังใจคนเป็นสิวทุกท่านนะครับ และอยากบอกทุกคนว่าสิวสามารถรักษาให้หายได้ หากรักษาถูกวิธีและตรงจุด ดูแลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หมอเอ็ม M Vita Clinic ยินดีให้คำปรึกษาฟรีครับ!
สามารถติดต่อนัดคิวพบหมอ หรือสอบถามโปรโมชั่น ได้ที่…
- เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
- อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
- ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
- สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
- เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
- ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ
วันเผยแพร่