เจาะลึก! สิวหัวช้างรักษาอย่างไร? พร้อมบอกลาต้นเหตุปัญหาสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างเป็นสิวประเภทที่มีการอักเสบรุนแรง รักษาได้ยาก หากปล่อยทิ้งไว้อาจนำไปสู่การอักเสบที่มากขึ้น รวมถึงสิวหัวช้างยังทิ้งร่องรอยแผลเป็นไว้ที่ผิวของเราอีกด้วย ซึ่งปัญหาเหล่านี้สร้างความหนักใจให้หลายคนไม่น้อย บางคนพยายามใช้เครื่องสำอางปกปิดรอยสิวแต่กลับทำให้สิวหัวช้างอักเสบมากยิ่งขึ้น

ในบทความนี้หมอจะพาทุกคนมาทำเจาะลึกกับเจ้า “สิวหัวช้าง” ว่า สิวหัวช้างเกิดจากอะไร มีลักษณะอย่างไร สิวหัวช้างรักษายังไง บีบสิวหัวช้างได้หรือไม่ รวมถึงข้อควรรู้ต่าง ๆ เกี่ยวกับสิวหัวช้างเพื่อเป็นแนวทางในการดูแลรักษาสิวหัวช้าง พร้อมบอกลาต้นเหตุสิวหัวช้างครับ

ก่อนอื่นหมอขออนุญาตแนะนำตัวเองก่อนนะครับ หมอชื่อหมอเอ็ม นายแพทย์มนตรี อุดมประเสริฐกุล เป็นแพทย์ประจำ เอ็มวีต้าคลินิก ครับผม

สิวหัวช้าง 

สิวหัวช้างอักเสบ

สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne หรือ Severe Nodular acne) เป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ เกิดจากการกระตุ้นของแบคทีเรียทำให้สิวอุดตันในรูขุมขนบวมนูนขึ้นมา สิวหัวช้างนี้จะเกิดการอักเสบที่ผิวหนังชั้นแท้ (Dermis) ทำให้รักษาได้ยากกว่าสิวประเภทอื่น ๆ เนื่องจากเป็นชั้นผิวที่อยู่ลึกลงไป หากสิวหัวช้างมีการอักเสบรุนแรงเพิ่มขึ้นจะเกิดเป็นหนอง สิวหัวช้างนอกจากจะขึ้นบริเวณใบหน้าแล้ว ยังสามารถเกิดตามผิวหนังส่วนอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น หน้าอก หลังช่วงบน ไหล่ หรือแม้กระทั่งบริเวณรักแร้ เป็นต้น

สำหรับใครที่อยากทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิวให้มากขึ้น สามารถอ่านต่อในบทความที่หมอเขียนไว้ได้เลยนะครับ: “สิว” เกิดจากอะไร? หน้าเป็นสิวรักษายังไง? วิธีลดสิว แบบ เอ็มวีต้า คลินิก

สิวหัวช้างมีลักษณะอย่างไร

สิวหัวช้างมีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีแดงขนาดใหญ่ มีอาการบวมแดงรอบฐานสิว เนื่องจากมีปฏิกิริยาการอักเสบและมีหนองเข้าไปคั่งอยู่ บางคนเรียกว่าสิวหนองไม่มีหัว หรือสิวหัวช้างไม่มีหัว เมื่อเอามือไปสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ ในรายอาจมีอาการคันร่วมด้วย หากสิวหัวช้างมีการอักเสบรุนแรงขึ้นอาจเกิดเป็นถุงหนองได้ รวมถึงสิวหัวช้างนี้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ยากต่อการปกปิด

หากปล่อยให้สิวหัวช้างไว้นานโดยไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็น หรือหลุมสิวลึกขนาดใหญ่บนผิวของเราได้ครับ

สิวหัวช้างเกิดจากอะไร

สิวหัวช้างเกิดจาก

ต้นเหตุของการเกิดสิวหัวช้างมีอยู่หลายสาเหตุปัจจัย ดังนี้

1. แบคทีเรีย C.acnes ก่อให้เกิดสิวหัวช้าง 

แบคทีเรีย C.acnes (Cutibacterium acnes) เป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามผิวหนังและรูขุมขน เมื่อถูกกระตุ้นหรือมีมากเกินไปสามารถส่งผลให้เกิดสิวหัวช้างได้ หากแบคทีเรีย C.acne นี้เพิ่มจำนวนมากขึ้นจะทำให้รูขุมขนเกิดการอักเสบ และเป็นต้นเหตุของการเป็นสิวอักเสบครับ

2. ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป

เมื่อต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป (Sebum production) และบริเวณท่อรูขุมขนเกิดการอุดตันขึ้นจากเซลล์ผิวที่ลอกหลุดสะสมอยู่ในรูขุมขน จึงทำให้เกิดการสะสมของน้ำมันค้างอยู่ในรูขุมขนจนจับตัวกันแน่น เกิดเป็นสิวอุดตันขึ้น ต่อมาการอุดตันนี้ทำให้รูขุมขนขาดออกซิเจน แบคทีเรีย C.acnes ต้นเหตุของการเกิดสิวหัวช้างจึงเจริญเติบโตได้ดีนั่นเองครับ เนื่องจากเจ้าแบคทีเรียชนิดนี้จะไม่ค่อยชอบออกซิเจนครับ

3. ฮอร์โมนในร่างกาย

สิวหัวช้างสามารถเกิดได้จากฮอร์โมนในร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือความไม่สมดุลของฮอร์โมน เมื่อฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) หรือที่เรียกกันว่าฮอร์โมนเพศชายเพิ่มสูงขึ้น ฮอร์โมนนี้จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดการอุดตันและมีโอกาสเกิดเป็นสิวหัวช้างได้

4. พักผ่อนไม่เพียงพอ

การพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการอดนอนถือเป็นความเครียดชนิดหนึ่งที่มีผลต่อระดับการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนในร่างกาย เมื่อมีความเครียดร่างกายจะมีการสร้างน้ำมันที่มากกว่าปกติ ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี จึงเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวหัวช้างครับ 

5. สัมผัสหน้าบ่อย

การใช้มือสัมผัสที่ใบหน้าบ่อย ๆ โดยที่ไม่ได้ทำความสะอาด เป็นพฤติกรรมที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่ผิวหนัง เพราะมือเรามักมีเชื้อแบคทีเรีย หรือสิ่งสกปรกสะสมอยู่ตามซอกเล็บ ง่ามนิ้วมือ ปลายนิ้ว เมื่อนำมาสัมผัสกับใบหน้าจึงอาจทำให้ผิวหนังเกิดการติดเชื้อ ต้นเหตุของสิวหัวช้าง

6. ล้างหน้าไม่สะอาด

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวหัวช้างคือ การล้างหน้าไม่สะอาดนั่นเองครับ เมื่อล้างหน้าไม่สะอาดก็จะทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกบนใบหน้า รวมถึงเกิดการอุดตันของสิ่งสกปรกในรูขุมขนทำให้เกิดสิวหัวช้างตามมา

7. ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว

หากใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง ก็เป็นหนึ่งสาเหตุของการเกิดสิวหัวช้างได้นะครับ เช่น ผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของซิลิโคน น้ำหอม หรือแอลกอฮอล์มากเกินไป เนื่องจากส่วนผสมเหล่านี้อาจทำให้เกิดการอุดตัน หรือทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ 

8. สิวหัวช้างที่เกิดจากปัจจัยอื่น ๆ 

  • การตั้งครรภ์
  • ภาวะถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovarian Syndrome: POS)
  • กรรมพันธุ์จากทางครอบครัว อาจมีแนวโน้มที่เป็นสิวหัวช้างได้มากกว่าปกติ
  • มลพิษทางอากาศ เช่น ควันรถ ฝุ่น สามารถทำให้เกิดการระคายเคืองผิวได้
  • การรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง แป้ง ไขมัน หรือของมันเป็นประจำ
  • การเสียดสีจากการสวมใส่หน้ากากอนามัย
รักษาสิวกับแพทย์
Line @ : @mvitaclinic

บริเวณที่มักเกิดสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างมักเกิดขึ้นตามจุดต่าง ๆ บริเวณใบหน้า เช่น คาง จมูก หน้าแก้ม นอกจากนี้สิวหัวช้างยังสามารถเกิดตามผิวหนังร่างกายส่วนอื่นได้ โดยบริเวณที่มักเกิดสิวหัวช้างมีดังนี้

สิวหัวช้างที่คาง

สิวหัวช้างที่คางเป็นบริเวณที่เกิดสิวหัวช้างได้ง่ายที่สุด เพราะมีโอกาสสัมผัสกับสิ่งสกปรกหรือเชื้อโรคจากมือเราได้มากที่สุดครับ เช่น นั่งเท้าคาง เกาคาง นอกจากนี้การสวมใส่หน้ากากอนามัยยังเป็นหนึ่งในปัจจัยทำให้เกิดสิวขึ้นคางอีกด้วย เพราะมีการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย เครื่องสำอาง ฝุ่นละอองต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการอุดตัน รวมถึงความอับชื้น และการเสียดสีของหน้ากากอนามัย

สิวหัวช้างที่จมูก

จมูกเป็นหนึ่งในบริเวณ T-zone ที่มักเกิดความมันบนใบหน้าได้มากกว่าจุดอื่น ๆ เนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก จึงมีโอกาสเกิดการอุดตันของระบบต่อมไขมันในรูขุมขน ต้นเหตุของการเกิดสิวหัวช้างที่จมูก

สิวหัวช้างที่หลัง

บริเวณหลังเป็นบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก รวมถึงมีความอับชื้นจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ เมื่อมีการเสียดสีจากการสวมเสื้อผ้าเป็นประจำทุกวันก็สามารถก่อให้เกิดสิวที่หลังได้ครับ

วิธีรักษาสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างใหญ่มากรักษาหายไหม? ถึงแม้ว่าใครหลายคนจะบอกว่าสิวหัวช้างรักษายาก แต่ถ้าหากรักษาอย่างถูกวิธีก็สามารถทำให้ผิวของเรากลับมาเรียบเนียนได้นะครับ สำหรับวิธีรักษาสิวหัวช้างมีด้วยกันหลากหลายวิธีเลย โดยส่วนมากจะใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดครับ 

1. กินยารักษาสิวหัวช้าง

กินยารักษาสิว

ยารับประทานที่ใช้รักษาสิวหัวช้างจะช่วยปรับฮอร์โมน ลดการทำงานของต่อมไขมัน ลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รวมถึงช่วยในเรื่องกระบวนการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นไปตามปกติ ทั้งนี้หากต้องการใช้ยารับประทานควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนนะครับ สำหรับยาที่นิยมใช้รักษาสิวหัวช้างมีดังนี้

  • ยารับประทานที่เป็นยาปฏิชีวนะ มีประสิทธิภาพในการลดจำนวนเชื้อแบคทีเรีย ต้นเหตุของการเกิดสิวหัวช้าง โดยยาที่มีจำหน่ายตามร้านขายยาได้แก่ Tetracycline และ Doxycycline ยาทั้งสองตัวนี้อาจมีผลข้างเคียงทำให้คลื่นไส้อาเจียน จึงควรรับประทานหลังอาหาร รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้ในสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร
  • ยารับประทาน Isotretinoin มักใช้ในผู้ที่มีสิวหัวช้างอักเสบอย่างรุนแรง ทั้งนี้ยาตัวนี้อาจมีผลข้างเคียง เช่น ผิวแห้ง ผิวไวต่อแสง จึงควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดร่วมด้วย และไม่ควรใช้ในสตรีมีครรภ์และให้นมบุตร เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์

2. ทายารักษาสิวหัวช้าง

ยาทารักษาสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างทายาอะไร? ยารักษาสิวหัวช้างชนิดทาเหมาะสำหรับผู้ที่มีสิวหัวช้างอักเสบเพียงเล็กน้อย โดยยาที่นิยมใช้ได้แก่ 

  • ยาทาที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว ได้แก่ Benzoyl Peroxide, Azelaic Acid, Retinoids ส่วนใหญ่ยาเหล่านี้จะมาในรูปแบบครีมหรือเจล ใช้ทาบาง ๆ บริเวณที่มีสิวหัวช้าง วันละ 1-2 ครั้ง แต่อาจมีผลข้างเคียงคือ ผิวลอก ระคายเคืองผิวหนัง แสบผิว หากใช้ยากลุ่มนี้หมอแนะนำให้หลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดร่วมด้วยนะครับ สำหรับรายละเอียดคร่าว ๆ ของยาทาที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวมีดังนี้
    • Retinoids เป็นยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ ช่วยในเรื่องการอักเสบและลดการอุดตันในรูขุมขน ทำให้สิวหัวช้างอักเสบน้อยลง แต่ข้อควรระวังในการใช้คือ อาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง ผิวบาง และไวต่อแสงแดดได้
    • Benzoyl Peroxide เป็นยาทาสิวที่ใช้ได้กับสิวทุกรูปแบบรวมถึงสิวหัวช้างด้วย มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ยาตัวนี้ควรใช้ภายใต้คำสั่งของแพทย์เพื่อใช้ในปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ยา Benzoyl Peroxide อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนังอย่างรุนแรง ดังนั้นควรทดสอบการแพ้ก่อนเริ่มใช้ยา
    • Azelaic Acid เป็นยาทาสิวที่สกัดมาจากธรรมชาติ มีคุณสมบัติช่วยกำจัดแบคทีเรีย ช่วยผลัดเซลล์ผิว มีข้อจำกัดคือหากใช้ในปริมาณมากเกินไปอาจเสี่ยงทำให้ผิวไหม้ได้ จึงนิยมใช้รักษาในผู้ที่เป็นสิวหัวช้างระดับรุนแรงเท่านั้น
  • ยาทาที่เป็นยาปฏิชีวนะ ได้แก่ Clindamycin และ Erythromycin ใช้ทาเฉพาะบริเวณที่เป็นสิวหัวช้าง วันละ 2-3 ครั้ง หลังใช้อาจพบผลข้างเคียงได้คือ ผิวบาง แสบผิว ผิวลอก ระคายเคืองผิวหนัง 
รักษาสิวกับแพทย์
Line @ : @mvitaclinic

3. ใช้ผลิตภัณฑ์ลดการอักเสบ

สกินแคร์รักษาสิวหัวช้าง

วิธีรักษาสิวหัวช้างนอกจากจะใช้ยาทาหรือยารับประทานแล้ว ยังสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหน้า หรือสกินแคร์ต่าง ๆ ที่อ่อนโยนเหมาะกับสภาพผิวของตนเอง เพื่อช่วยลดการอักเสบของสิวหัวช้างได้ เช่น 

  • ใช้แผ่นแปะสิวหัวช้างเพื่อช่วยลดการบวมแดง 
  • ใช้คลีนซิ่งเพื่อทำความสะอาดใบหน้าให้หมดจดก่อนล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้า 
  • ใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยลดการอักเสบของสิว เช่น สารสกัดจากใบบัวบก (Cica), Salicylic Acid, Retinoids เป็นต้น

4. เลเซอร์สิวหัวช้าง

เลเซอร์รักษาสิวหัวช้าง

การเลเซอร์สิวหัวช้าง หรือการเลเซอร์รอยสิวจะช่วยลดจำนวนแบคทีเรีย C.acne ที่เป็นต้นเหตุของการเกิดสิวหัวช้าง รวมทั้งช่วยกำจัดไขมันที่อุดตันในรูขุมขนหลุดออกไป ทั้งนี้การเลือกใช้วิธีเลเซอร์สิวหัวช้างจะขึ้นอยู่กับสภาพผิว และความรุนแรงของสิวหัวช้าง โดยเลเซอร์ที่นิยมใช้รักษาสิวหัวช้าง และรอยสิว เช่น 

5. ฉีดสิวหัวช้าง

ฉีดสิวหัวช้าง

การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids) เข้าที่สิวโดยตรงเป็นหนึ่งในการรักษาที่ได้ผลดีสำหรับรักษาสิวหัวช้าง เนื่องจากสามารถลดการอักเสบลงได้ สิวยุบลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังลดโอกาสการเกิดแผลเป็นอีกด้วย แต่การฉีดสิวนี้เป็นเพียงแค่ลดการอักเสบเท่านั้น ไม่ได้เป็นการรักษาสิวที่ต้นเหตุครับ ดังนั้นวิธีนี้จึงเหมาะกับผู้ที่มีความจำเป็น หรือมีงานสำคัญมากกว่าใช้เป็นวิธีหลักในการรักษาสิวหัวช้าง

6. ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

วิธีรักษาสิวหัวช้าง

การปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังเป็นสิ่งที่ควรทำเป็นอันดับต้น ๆ หากต้องการรักษาสิวหัวช้าง เพราะสิวหัวช้างนั้นเป็นสิวที่รักษาให้หายยาก และไม่ควรบีบสิวเป็นอย่างยิ่ง ถ้ารักษาแบบผิดวิธียังเสี่ยงต่อการทิ้งร่องรอยสิวเอาไว้อีกด้วยครับ

ดังนั้นการเข้าปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนจะช่วยวางแผนรักษาสิวหัวช้างได้อย่างถูกวิธี เหมาะกับสภาพผิวของแต่ละบุคคล และระดับความรุนแรงของสิว อีกทั้งแพทย์ยังช่วยวิเคราะห์หาสาเหตุของการเกิดสิวหัวช้างได้ 

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างเป็นสิวที่มีการดูแลรักษายาก หากได้รับการดูแลแบบผิดวิธีอาจทำให้สิวหายช้าได้ ฉะนั้นเราจึงต้องมีวิธีการดูแลตัวเองที่ถูกต้อง เพื่อช่วยไม่ให้เจ้าสิวหัวช้างเกิดการอักเสบมากขึ้น และทิ้งรอยแผลเป็นจากสิวเอาไว้บนใบหน้าของเรา ดังนี้ครับ

  • ไม่สัมผัสบริเวณที่เป็นสิวหัวช้าง เพราะเสี่ยงต่อเชื้อโรคเข้าไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบมากกว่าเดิมได้
  • ไม่บีบสิวหัวช้าง หรือพยายามบีบหนองที่อยู่ภายในสิวให้แตกออก เพราะอาจเกิดการอักเสบมากขึ้น และทำให้เกิดเป็นแผลขนาดใหญ่ ส่งผลให้เป็นหลุมสิวขนาดลึกได้
  • รักษาสิวด้วยการรับประทานยาปฏิชีวนะ เพื่อช่วยควบคุมเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ หรือทายารักษาสิวที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิว
  • ควรล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เพื่อชำระล้างสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่ให้อุดตันในรูขุมขน
  • เลือกใช้สกินแคร์ หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อ่อนโยน เหมาะสมกับสภาพผิวของตนเอง เพื่อป้องกันการแพ้และการระคายเคืองผิว
  • หลีกเลี่ยงการโดนแสงแดดโดยตรง และควรทาผลิตภัณฑ์กันแดดร่วมด้วย เนื่องจากแสงแดดสามารถกระตุ้นให้ผิวเกิดการผลิตไขมันมากกว่าปกติ
  • หากเป็นสิวหัวช้างบริเวณหลัง หรือตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้ารัดรูปเพื่อลดการอักเสบและการระคายเคืองของผิวหนัง

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวหัวช้าง

วิธีป้องกันสิวหัวช้าง

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดสิวหัวช้างเพิ่มขึ้น รวมถึงรอยดำ รอยแดง จากสิว สามารถปฏิบัติตามง่าย ๆ ตามหมอแนะนำดังนี้ครับ

  1. งดการสัมผัสใบหน้า เกา แกะ หรือบีบสิว เพราะอาจมีเชื้อโรคเข้าไปกระตุ้นให้เกิดสิวได้ นอกจากนี้หากไปยุ่งหรือแกะเกาบริเวณที่เป็นสิว ยังเสี่ยงทำให้เป็นรอยดำหรือรอยแผลเป็นจากสิวอีกด้วย
  2. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น หากมีการแต่งหน้า ควรเช็ดทำความสะอาดเครื่องสำอางด้วยคลีนซิ่งออกให้หมดก่อน เพื่อป้องกันการอุดตันของส่วนผสมในเครื่องสำอาง
  3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำสะอาด 
  4. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่กระตุ้นให้เกิดสิว เช่น ของมัน ของทอด ของหวาน แป้ง
  5. ควรซักทำความสะอาดผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม และผ้าเช็ดตัวอยู่เสมอ อย่างน้อยทุก 1-2 สัปดาห์ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรีย

รักษาสิวหัวช้างที่เอ็มวีต้าคลินิก 

สำหรับผู้ที่กำลังเลือกคลินิกรักษาสิวหัวช้างที่ไหนดี ที่ Mvita Clinic เป็นคลินิกที่ให้บริการดูแลด้านความงามมามากกว่า 14 ปี นำโดยนายแพทย์มนตรี อุดมประเสริฐกุล และทีมพยาบาล โดดเด่นในด้านรักษาสิวหัวช้าง และสิวทุกประเภท รอยสิว และหลุมสิว การันตีผลลัพธ์รักษาหายมากกว่า 8,000 คน Mvita Clinic พร้อมให้บริการด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์มาตรฐานสากล ไม่ว่าจะเป็น Pro Yellow Laser, Fotona SP Spectro, Spectra XT, Forma เป็นต้น ในทุกขั้นตอนการรักษาจะอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างใกล้ชิด 

รักษาสิวกับแพทย์
Line @ : @mvitaclinic

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวหัวช้าง ( Q & A )

Q : สิวหัวช้างหายเองได้ไหม

สิวหัวช้างไม่สามารถปล่อยให้หายไปเองได้ครับ เนื่องจากสิวหัวช้างนี้เกิดขึ้นที่ชั้นหนังแท้ (Dermis) หากปล่อยทิ้งไว้ให้หายเองสิวหัวช้างอาจกินพื้นที่ขยายตัวมากขึ้น หรืออาจขึ้นหลายตุ่มในบริเวณเดียวกันได้ อีกทั้งยังทิ้งรอยแผลเป็นหรือหลุมสิวลึกไว้อีกด้วย ทำให้จำเป็นต้องใช้ยาเพื่อกำจัดเชื้อออกไป 

สำหรับใครที่สงสัยว่าหลุมสิวหายเองได้ไหม สามารถอ่านต่อในบทความที่หมอเขียนไว้ได้เลยครับ: หลุมสิวหายเองได้ไหม? รักษาเองได้ไหม? บทความนี้หมอมีคำตอบ

Q : สิวหัวช้างกดได้ไหม

สิวหัวช้างเป็นสิวอักเสบรุนแรงใต้ผิวหนังจึงไม่สามารถกดออกมาได้ การรักษาจึงนิยมใช้ยาร่วมกับหัตถการอื่น ๆ อย่างเช่น ฉีดสิว หรือเลเซอร์มากกว่า นอกจากนี้สิวหัวช้างยังสามารถทิ้งรอยหลุมสิวลึกเอาไว้ได้หากทำการกดหรือบีบออกมา ดังนั้นเมื่อพบว่าเป็นสิวหัวช้างควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อวางแผนรักษาให้เหมาะสมกับตนเองนะครับ

Q : สิวหัวช้าง กี่วันหาย

ระยะเวลาที่ใช้รักษาสิวหัวช้างค่อนข้างใช้เวลานานครับ เนื่องจากเป็นสิวที่มีขนาดใหญ่ มีการอักเสบ และอยู่ลึกเข้าไปในชั้นผิว อาจเป็นสัปดาห์หรือหลายเดือน ขึ้นอยู่กับว่าคนไข้แต่ละคนตอบสนองต่อยาหรือการรักษามากน้อยแค่ไหน รวมถึงสภาพผิวของแต่ละบุคคลอีกด้วย

Q : สิวหัวช้างปล่อยทิ้งไว้เป็นรอยสิวจริงไหม

สิวหัวช้างถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่มีการรักษา สามารถก่อให้เกิดรอยสิวหรือหลุมสิวลึกได้ง่ายครับ เนื่องจากสิวหัวช้างนี้เป็นสิวที่มีการอักเสบรุนแรงในรูขุมขน ภายในมีหนอง หากไม่ทำการรักษาอาจทำให้เป็นรอยสิว และเกิดแผลเป็นขนาดใหญ่ได้

Q : สิวหัวช้างต่างจากสิวอักเสบอย่างไร

สิวหัวช้างเป็นหนึ่งในประเภทของสิวอักเสบ ซึ่งสิวอักเสบสามารถแบ่งได้ตามความรุนแรงและขนาดของตุ่มสิวคือ สิวตุ่มนูนแดง (Papule) สิวหัวหนอง (Pustule) และสิวตุ่มแดงขนาดใหญ่ (Nodule) หรือที่เรียกกันว่า “สิวหัวช้าง” กันนั่นเอง

สรุปเรื่องสิวหัวช้าง

สิวหัวช้างเป็นสิวที่รักษาได้ยาก ต้องใช้ระยะเวลาในการดูแลรักษา หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รับการรักษาอย่างถูกวิธี สิวหัวช้างอาจทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยหลุมสิวลึกเอาไว้ที่ผิวหน้าของเราได้ ดังนั้นเมื่อพบว่าเริ่มเป็นสิวหัวช้างควรรีบพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรักษาให้ถูกต้องเหมาะสม 

คลินิกรักษาสิว Mvita Clinic นำทีมโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ด้านความงาม มากกว่า 14 ปี ผู้ที่ต้องการรับคำปรึกษาจากหมอ หรือนัดเข้ารักษาสามารถติดต่อตามช่องทางต่อไปนี้ได้เลยครับ

  • เปิด วันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดทุกวันจันทร์)
  • อังคาร – ศุกร์ : 11:00 – 20:00 , เสาร์ – อาทิตย์ : 10:00 – 20:00
  • ตั้งอยู่บน ถนน อโศกมนตรี หรือสุขุมวิท 21 ตรงข้ามโรงพยาบาลจักษุรัตนิน ครับ
  • สามารถจอดรถได้ที่ คอนโด สุขุมวิท ลิฟวิ่ง ทาวน์ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ
  • เดินทางสะดวกได้ง่ายๆ สำหรับคนที่ไม่มีรถ หรือเลี่ยงรถติด ก็มาง่ายมากๆครับเพราะร้านเรา ใกล้กับ MRT เพชรบุรี ออก Exit 2 เดินมา
  • ทางถนนอโศกมนตรี ประมาณ 200 เมตร ก็ถึง M Vita Clinic แล้วครับ

เอกสารอ้างอิง 

วันเผยแพร่

ปรึกษาทุกปัญหาความงามกับคุณหมอโดยตรง

    ชื่อ-สกุล*:

    เบอร์ติดต่อกลับ*:

    อีเมล์สำหรับส่งข้อมูล *

    เพศ:

    ชายหญิง

    อายุ (ปี):


    ต้องการปรึกษาคุณหมอเรื่องใด*: